แน่นอนอว่า ทุกคนอยากเกิดมามีความสุข และคุณเองก็เช่นกัน แต่อะไรล่ะ ที่จะทำให้เรามีความสุขได้จริง ๆ ? หลายคนอาจจะตอบว่า เงินทอง คือความสุข แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว จะพบว่า “ความคิด” ต่างหาก ที่สร้างชีวิตดีดี มีความสุขให้กับเราได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น เรามาเริ่มสร้างความสุขให้กับตัวเองกันตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่า ด้วย “8 วิธีคิดสร้างความสุข” แค่ทำให้ครบ ชีวิตก็ปัง จะมีอะไรบ้าง มาติดตามกัน
- ต้องเสพทุกกระแส ไม่พลาดสักข่าว! อาจเสี่ยงเป็น “FOMO อาการกลัวตกกระแส”
- จิตตก! เพราะโซเชียล อยู่รึเปล่า? ต้องดู 5 เคล็ดลับใช้โซเชียล ห่างไกลซึมเศร้า
- มาวัดระดับความสุข ด้วย “แบบประเมินความสุข” กันดีกว่า
คุณสามารถฝึกสมองของคุณให้คิดอย่างมีความสุขได้
การฝึกสมองให้คิดบวกมากกว่าลบ คุณจะมีความสุขมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณเคยสังเกตบ้างไหมว่าบางคนรู้สึกแย่กับตัวเองเมื่อมีคนวิจารณ์พวกเขา ในขณะที่คนอื่นดูเหมือนจะไม่สนใจ? สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ คือ วิธีที่คุณตอบสนองต่อคำวิจารณ์นั้นเป็นนิสัยการคิดของคุณ คนบางคนมักนึกถึงเรื่องส่วนตัว และรู้สึกไม่มีความสุข ในขณะที่คนอื่น ๆ มักจะเฉยเมย และมีความสุขอยู่เสมอ
ลองเริ่มต้นจับอารมณ์ตัวเองดูว่า คุณมีวิธีคิด หรือตอบสนองต่อคำชื่นชม ต่อคำนินทา ต่อเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่พอใจ อย่างไร? และนั่นแหละ คือนิสัยของคุณ ถ้าคุณรู้สึกว่าเป็นคนหัวเสียได้ง่ายกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คุณต้องรีบปรับปรุง ลองเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นให้กลายเป็นอีกความคิดที่ดีต่อสุขภาพใจเราแทนเข้าไป
เช่น ถ้ามีคนมาต่อว่าเรา ก่อนที่เราจะหัวเสีย ด่าเขากลับไป ให้พิจารณาก่อนว่า สิ่งที่เขาว่าเรานั้น ถูกต้องแล้วหรือไม่? เราควรปรับปรุงอะไรได้บ้าง เพราะ คนที่มีความสุข คือคนที่ยอมรับความจริง และรู้จักแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ในทางกลับกัน… ถ้าเราถูกด่า แล้วเราด่าเขากลับไปโดยทันที นอกจากเราจะไม่ได้อะไรแล้ว (นอกจากความสะใจ) ยังก่อให้เกิดความวุ่นวาย และความทุกข์ใจแก่ตัวเอง
ความคิดดี คิดบวก คิดให้เป็นสุข ส่งผลต่อสุขภาพเราอย่างไร?
แน่นอนว่า ถ้าเราคิดดี ทำดี ใจเราก็เป็นสุข แต่ถ้าเราคิดไม่ดี ประพฤติไม่ดี ใจเราก็จะเป็นทุกข์ แถมยังก่อปัญหาให้กับคนรอบข้างได้อีกด้วย และวิธีคิดดี คิดบวก คิดให้เป็นสุข มีผลต่อสุขภาพเราดังต่อไปนี้
- ขจัดความเครียดได้อย่างอยู่หมัด ห่างไกลโรคจิตเวชต่าง ๆ เช่น โรคเครียด ซึมเศร้า เป็นต้น
- ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลลง สืบเนื่องจากการไม่เจ็บป่วยได้ง่าย
- ระบบภูมิคุ้มกันโรคแข็งแรงขึ้น เพราะการคิดบวกเป็นการกระตุ้นให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานเป็นปกติ
- เพิ่มเติมพลังชีวิต ช่วยลดความกังวล ทำให้เครียดน้อยลง มีความกระปรี้กระเปร่า
- คิดบวกสู้โรคร้ายได้ และยาดีแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้กับใจเราที่แข็งแกร่ง พร้อมลุกขึ้นมาสู้กับโรคได้ ดั่งประโยคยอดฮิตที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว”
8 วิธีคิดสร้างความสุข สู่สุขภาพดีดี อายุยืนยาว
1. คุณสามารถคิดบวกแต่ยังคงอยู่บนโลกความเป็นจริงได้
บางคนคิดว่า การคิดบวก ทำให้คนเราเหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น ยกตัวอย่าง เช่น
- “ฉันไม่ฟิตเอาเสียเลย อ้วนลงพุง หุ่นน่าเกลียด” – ความคิดเชิงลบที่นำความรู้สึกแย่ ๆ
- “ฉันไม่ฟิตเลย แต่ตอนนี้ฉันจะลุกขึ้นมาออกกำลังกายแล้ว และฉันก็จะฟิตขึ้นทุกวัน!” – เริ่มต้นจากความคิดเชิงลบ แต่กลับกลายเป็นความคิดเชิงบวก ผลลัพธ์ คือ เข้าใกล้ความสุขไปอีกขั้น!
เห็นไหมว่า แค่เติมคำว่า “แต่” เข้าไป ชีวิตก็ดีขึ้นไปอีกขั้น และเป็นการกระตุ้นตัวเองให้ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ควรทำ และเมื่อผลลัพธ์ปรากฎ คุณจะรู้ว่า พลังแห่งการคิด มีค่าแค่ไหน
2. เพียงแค่เพิ่มคำว่า “แต่” เพื่อเปลี่ยนความทุกข์ของคุณ ให้กลายเป็นความสุขฃ
เมื่อไหร่ที่คุณมีทัศนคติเชิงลบ ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ขัดข้องหมองใจ ลองเติมคำว่า “แต่” เข้าไปดูสิ คุณสามารถเปลี่ยนความคิดเชิงลบทั้งหมดให้เป็นความคิดเชิงบวกได้เลยทันที เช่น
“ฉันรู้สึกท้อ ออกกำลังกายมานาน น้ำหนักไม่เห็นลด” กลายเป็น “ฉันรู้สึกน้ำหนักไม่ลดเลย ท้อนะ “แต่” ฉันมั่นใจว่าต้องมีคนเคยท้อเหมือนกันกับฉัน และเขาก็สามารถลดน้ำหนักได้”
เห็นไหมว่าเพียงเพิ่ม “แต่” เข้าไปในประโยค ก็ทำให้เปลี่ยนความคิดได้ เมื่อมีคนท้อเหมือนกัน แต่เขาผ่านมาได้ ก็ทำให้เราต้องไปสืบค้นดูว่า เขาผ่านมาได้อย่างไร ทำยังไง วิธีไหน ดีกว่ามาท้อแท้ สิ้นหวัง สุดท้ายก็จะไม่ได้อะไรเลยในที่สุด
3. ปล่อยวางกับความผิดพลาดที่คุณสร้างไว้
ปล่อยวางในที่นี้ ไม่ใช่หมายความว่า ละเลยปัญหาที่เราสร้างไว้ แต่ให้เรียนรู้ปัญหา รู้จักแก้ไข แต่ไม่เอามาตอกย้ำตัวเองจนเกิดความเครียด และซึมเศร้าได้ จงจำไว้เสมอให้ขึ้นใจว่า
“หากคุณได้เรียนรู้บทเรียนที่คุณทำพลาดไป แสดงว่าคุณสมควรได้รับการให้อภัยจากตัวคุณเอง แม้ว่าจะไม่มีใครให้อภัยคุณก็ตาม”
อย่างไรก็ตาม หากคุณรู้สึกเครียดเกินไป จนไม่อาจคิดหาทางออกให้กับปัญหาได้ ให้ลองนอนสักพัก สมองได้พักผ่อน วางความเครียดลง ตื่นมาสมองรีเฟรชขึ้น อาจได้ความคิดใหม่ ๆ มาแก้ไขปัญหาได้
4. มองหาความเป็นไปได้ ว่าเราจะมีความสุขในแบบของเราได้อย่างไร
จงจำไว้ว่า เราไม่ได้อาศัยอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใส กลิ่นหอมฟุ้งกระจายรอบตัว แต่เรากำลังอยู่ในโลกที่มีทั้งด้านดี และไม่ดี ฉะนั้น จงมองหาความเป็นไปได้ของชีวิตเรา ว่าจะอยู่อย่างไรให้เป็นสุขในแบบของเรา โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมากนัก
หลายคนชอบเอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นที่รวยกว่า สมบูรณ์กว่า ดีกว่า แต่ผู้คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้น เขาอาจผ่านความยากลำบากแสนเข็ญมาก่อนก็ได้ ถ้าจะเอาตัวเราไปเทียบกับใคร ให้เทียบอย่างมีสติ มองว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างไร เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตเราได้ไหม หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “เอาความสำเร็จของเขา มาเป็นพลังให้เรา” เมื่อได้ข้อมูลที่มากพอ คุณก็จะมองเห็นความหวังในชีวิตมากขึ้น
5. รู้จักการยอมรับ และปล่อยวาง
ความจริงในชีวิตที่เราต้องเรียนรู้ ยอมรับ และปล่อยวางให้เป็น ก็คือ “เราไม่สามารถได้อะไรที่ต้องการไปเสียหมด” บางครั้งเราอาจพยายามทำมาหากินแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองรวยได้เหมือนคนอื่นเขา หรือแม้ในเรื่องความรัก ถึงเราพยายามทำดีแล้ว สละอะไรหลาย ๆ อย่างไปมากมาย แต่ก็ยังไม่อาจสมหวังในรักได้ ก็ต้องรู้จักยอมรับ และปล่อยวางให้เป็น
คุณอาจจะกลัวที่จะเสียใจ คุณกลัวความเจ็บปวด กลัวที่จะหงุดหงิด หรือกลัวอะไรก็ตาม มันไม่ใช่สิ่งผิดที่คุณจะอ่อนแอบ้าง แต่ให้บอกกับตัวเองว่า “โลกก็เป็นแบบนี้ มีสมหวัง มีผิดหวัง เป็นปกติ” เราจะเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป และให้มองคนที่สามารถก้าวข้ามปัญหาอันหนักหนามาได้ เราก็จะเกิดกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป
6. ปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ รักษาศีล เพิ่มพลังเชิงบวก
พื้นฐานเบื้องต้นของมนุษย์ที่ควรมี คือ การเมตตาต่อกัน เมื่อคนเราเมตตาต่อกัน ก็จะมีความรู้สึกดีดี สร้างสรรค์พลังบวกให้แก่กันได้ ชีวิตเราก็จะมีความสุขได้โดยง่าย แต่ทั้งหมดนี้เราก็ต้องพึ่งพาการปฏิบัติธรรม
เพราะการปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ รักษาศีล เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เราเกิดความสุขจากภายในได้ เช่น ถ้าเรารักษาศีลข้อที่ 1 เราก็จะไม่คิดร้าย ไม่ทำร้ายกันเอง ถ้าเรารักษาศีลข้อที่ 2 เราก็จะไม่ลักทรัพย์ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น เป็นต้น แต่การจะคิดได้เช่นนี้ ก็จำเป็นต้องมีการฝึกสมาธิ ให้อยู่กับลมหายใจเข้า-ออก เพื่อให้จิตสงบ ผ่อนคลาย ปัญญาก็จะเกิด ทำให้เรารักตัวเอง และผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน เพราะเราทรงในคุณธรรมนั่นเอง
7. อย่าประมาทความคิดตัวเอง
เคยไหมที่คิดด่าตัวเอง ด่าคนอื่น จนทำให้ใจเป็นทุกข์โดยที่เราอาจไม่ทันรู้ตัว นั่นก็เพราะเรารู้ไม่เท่าทันความคิดตัวเอง เราอาจคิดว่า “แค่คิดเฉย ๆ ไม่เป็นไรหรอก” แต่ถ้าเราคิดเรื่องใดซ้ำ ๆ เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นด้านลบของชีวิต เราก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ทั้งภายในใจ และล้นออกมานอกกาย ทำให้ใบหน้าเศร้าหมองตลอดเวลา ทั้งหมดก็เกิดจาก “ความคิด” ของเราเองทั้งนั้น
ฉะนั้นอย่าประมาทความคิดตัวเอง เมื่อไหร่ที่เราเริ่มคิดลบ คิดไม่ดี คิดทำร้ายตัวเอง ให้เปลี่ยนความคิดนั้นเป็น ให้กำลังใจตัวเอง คิดบวกแทนคิดลบให้ได้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลาฝึกฝน ด้วยการนั่งสมาธิ และหมั่นรู้อารมณ์ความคิดตัวเองอยู่เสมอ
8. คิดดี ทำดี ชีวิตเป็นสุข สุขภาพก็ดีตาม
มาถึงข้อสุดท้าย ข้อที่ 8 ก็เป็นอะไรที่ตรงไป ตรงมาที่สุด นั่นก็คือ การคิดดี ทำดี นั่นเอง แน่นอนว่าคนเราถ้าอยากมีความสุข มีชีวิตดีดี สุขภาพดีดี ก็ต้องเริ่มจากการเป็นคนคิดดี ทำดีนี่แหละ ตรงที่สุดแล้ว! แต่การจะฝึกให้ตัวเองเป็นคนคิดดี ทำดีได้นั้น ก็ต้องอาศัยทั้ง 7 ข้อด้านบนที่กล่าวถึงไป มาหลอมรวมเป็นความคิดดีดีนั่นเอง
สุดท้ายนี้ หากคุณคิดว่า 8 ข้อมันมากเกินไป ให้ลองเริ่มปฏิบัติจากข้อที่ 5 “รู้จักการยอมรับ และปล่อยวาง” และ ข้อที่ 6 “ปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ รักษาศีล” รับรองได้เลยว่า ถ้าทำ 2 ข้อนี้ได้ดีแล้ว ข้ออื่น ๆ ก็จะตามมาได้อย่างไม่ยากเย็น และคุณจะพบกับความสุขในชีวิตที่คุณอาจไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนอย่างแน่นอน