คุณมีความรู้สึกแบบนี้อยู่หรือไม่? หงุดหงิดที่ตามเทรนด์ไม่ทัน หรือนับตั้งแต่ตื่นนอน ก็ต้องหยิบมือถือขึ้นมาเช็คเทรนด์ต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดียเป็นประจำทุกวัน… ต้องระวัง! เพราะอาการเหล่านี้กำลังบ่งบอกว่า คุณอาจเสี่ยงกับ FOMO หรือ โรคกลัวตกกระแส โดยไม่รู้ตัว!
- จิตตก! เพราะโซเชียล อยู่รึเปล่า? ต้องดู เคล็ดลับใช้โซเชียลอย่างไร ให้ห่างไกลซึมเศร้า
- แบบประเมินโรคซึมเศร้า 9 คำถาม
- 8 วิธีคิดบวก ฝึกตัวเองเป็นคนใหม่ ที่ดีกว่า! พร้อมแบบประเมินความสุข 15 คำถาม
FOMO คืออะไร?
FOMO เป็นคำย่อมาจาก Fear of Missing Out หรือ “อาการกลัวตกกระแส” (อาจเรียกได้ว่า เป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมยุคปัจจุบัน) เป็นความวิตกกังวลทางสังคมแบบหนึ่ง กลัวการไม่เป็นที่ยอมรับ กลัวไม่ได้เป็นคนสำคัญ จึงต้องคอยเช็คข่าวสารตลอดเวลา ฉันต้องรู้ก่อนใคร ฉันจะต้องแชร์ ฉันจะต้องได้ไลค์เยอะ ๆ พอพลาดอะไรไป หรือไม่ได้ดั่งใจก็จะเกิดอาการเครียด วิตกกังวล กระสับกระส่ายขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ การเฝ้ามองหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นการบั่นทอนทั้งสุขภาพร่างกาย และจิตใจ ส่งผลให้ชีวิตขาดความสมดุลเนื่องจากต้องแบ่งเวลากิน เวลาทำงาน เวลาครอบครัว และเวลาพักผ่อนไปให้กับโลกโซเชี่ยลเสียหมด
ในขณะเดียวกันการจดจ่ออยู่กับกระแสข้อมูลข่าวสารทำให้ขาดสมาธิ และขาดประสิทธิภาพในการเรียน และการทำงาน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความก้าวหน้าในอนาคต
อาการที่เข้าข่ายFOMO
ข้อมูลจาก สถาบันสุขภาพจิตเด็ก และวัยรุ่นราชนครินทร์ ได้ระบุถึงอาการที่เข้าข่ายFOMO ไว้ดังนี้
- อารมณ์แปรปรวนง่าย เมื่อไม่ได้เล่นอินเตอร์เน็ต หงุดหงิดใจ กระวนกระวาย
- หมดเวลาไปกับการใช้สมาร์ทโฟน มากกว่า 6 ชม. ต่อวัน
- ติดการใช้งาน Facebook , Twitter ฯลฯ ต้องเล่น ต้องเช็ค ทุกวัน เกือบจะทุกเวลา
- กลัวตกกระแส และรู้ข่าวช้ากว่าเพื่อน ๆ
- เวลามีคนมาคอมเม้นต์ หรือพูดถึง จะกังวลเมื่อถูกตำหนิบนโซเชียลมีเดีย
- รู้สึกด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบตนเองกับคนบนโลกออนไลน์ คนอื่นมีโน่นมีนี่ ไปกินอาหารดี ๆ ทำไมเราถึงไม่ได้ทำแบบเขา
ซึ่งผลจากการวิจัย มีถึง 64% มีอาการ FOMO เมื่อไม่สามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้ ซึ่ง 80 % เป็นชาวเอเชีย และ 56 % กลัวการตกข่าว หรือกระแสหากไม่ได้เข้ามาอัพเดทบ่อย ๆ
FOMO มีผลเสียต่อสุขภาพกายอย่างไรบ้าง?
- มีปัญหาด้านการนอนหลับ นอนดึก นอนหลับยาก
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการเคลื่อนไหวในแต่ละวันที่ลดลง
- มีปัญหาด้านร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดไมเกรน ปวดตา และความเหนื่อยล้า เป็นต้น
- รู้สึกโกรธหากมีใครไม่สนใจ ไม่เห็นด้วย หรือโต้แย้งความคิดเห็นของตัวเอง
- มีปัญหาด้านภาวะทางอารมณ์ เช่น หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย เสี่ยงต่อโรคเครียด โรคซึมเศร้า เป็นต้น
Social Detox วิธีบำบัดปัญหาสุขภาพจากโลกโซเชียล
มีคนดังมากมายระดับโลก หรือแม้แต่ดาราไทยเอง ที่ได้หันมาใช้ Social Detox หรือการประกาศหยุดพัก (ออกห่าง) จากโซเชียลมีเดีย เพื่อบำบัดการเสพติดเทคโนโลยี หรือสื่อสังคมออนไลน์ด้วยการตัด และลดบทบาทการใช้โซเชียลมีเดียให้น้อยลง
โดยหลายคนใช้บำบัดตัวเองเนื่องจากได้รับผลกระทบจากบนโลกโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นการได้รับความคิดเห็น หรือคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ดี ไปจนถึงพฤติกรรมการเสพสื่อทั่วไปมากจนเกินไป ด้วยเหตุนี้ Social Detox จึงเป็นวิธีที่เข้ามามีบทบาทในยุคนี้มากขึ้น
วิธีรับมือกับอาการFOMO
1. ยอมรับก่อนว่าตัวเองติดโซเชี่ยล เพราะเมื่อไหร่ที่เรายอมรับ เมื่อนั้นเราก็พร้อมจะเปลี่ยน
2. หากิจกรรมอื่นที่เหมาะสมมาทดแทน อาทิ กำหนดกิจกรรมภายในครอบครัวเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด การพักผ่อน ออกไปท่องเที่ยว หรือทำงานที่จะช่วยพัฒนาทักษะความสามารถของตัวเอง
3. ตั้งเป้าหมายในการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ โดยกำหนดช่วงเวลา และระยะเวลาในการใช้งานให้ชัดเจนพิจารณาตามความจำเป็นของแต่ละคน โดยทั่วไปเวลาที่เหมาะสมคือ ใช้งานวันละไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง
4. กำหนดให้ห้องนอนเป็นพื้นที่ No mobile หลีกหนีจากโทรศัพท์แล้วมาพักผ่อนดีกว่า
5. ทำ Social detox ออกห่างจากโลกโซเชียลสักระยะ เมื่อคุ้นชินกับการไม่ได้เล่นโซเชียลแล้ว ก็จะทำให้อาการ fomo หายไปเอง