ไบโพลาร์ หรือ โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว เป็นอีกหนึ่งโรคทางจิตใจที่คงจะคุ้นหูใครหลาย คนในช่วงนี้ เพราะเป็นที่พูดถึงกันมากเหลือเกิน และโรคนี้ก็ทำให้ผู้ป่วยต้องประสบกับปัญหาในการใช้ชีวิต ไม่น้อยไปกว่าโรคซึมเศร้า เลยทีเดียว ผู้ที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ จะอารมณ์ดีมากจนผิดปกติ สลับกับมีภาวะซึมเศร้าอย่างหนัก มาดูกันดีกว่าว่า มีสัญญาณเตือนอะไรบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคไบโพลาร์ได้
อาการของโรค ไบโพลาร์
โรคไบโพลาร์ – Bipolar Disorder หรือโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว เป็นความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาระหว่าง อารมณ์ดีมากกว่าปกติ สลับกับอารมณ์ซึมเศร้า เป็นโรคที่มีการอาการของโรคเรื้อรัง และมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้สูงถึง 70-90%
อาการสังเกตที่เด่นชัดของไบโพลาร์ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ช่วงที่มีภาวะซึมเศร้า กับช่วงมาเนีย หรือช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ โดยอาการแต่ละช่วง อาจมีอยู่นานเป็นสัปดาห์ หรือหลายเดือน ผู้ป่วยจะมีอาการของทั้ง 2 กลุ่ม อย่างน้อยกลุ่มละ 4-5 อาการขึ้นไป และเป็นติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์
• ช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ (mania หรือ hyper-mania)
1. มีความเชื่อมั่นขึ้นมาก หรือคิดว่าตนยิ่งใหญ่ มีความสามารถ
2. รู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มีพลังงานสูงมากจนผิดปกติ
3. ความต้องการนอนลดลง เช่น นอนแค่ 3 ชั่วโมงก็รู้สึกว่ามากพอแล้ว
4. คิดหลายเรื่องพร้อม ๆ กัน หรือรู้สึกว่าความคิดแล่นเร็ว
5. วอกแวก ถูกดึงความสนใจได้ง่าย กระสับกระส่ายมาก
6. พูดคุยมากกว่าปกติ หรือต้องการพูดไม่หยุด
7. มีกิจกรรมที่มีจุดหมายเพิ่มขึ้นมาก และอาจหมกหมุ่นกับกิจกรรมนั้น จนมีโอกาสก่อให้เกิดความยุ่งยากตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การงาน/การเรียน หรือด้านเพศ เช่น ใช้จ่ายโดยไม่ยับยั้ง หรือไม่ยับยั้งใจเรื่องเพศ
8. มีความต้องการทางเพศสูง อาจมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าได้ง่ายโดยไม่ป้องกัน
• ช่วงภาวะซึมเศร้า (Depression)
1. มีอารมณ์ซึมเศร้าเป็นส่วนใหญ่ของวัน โดยอาจมาจากตัวผู้ป่วยเอง เช่น บอกว่ารู้สึกเศร้า หรือรู้สึกว่างเปล่า หรือจากการสังเกตของผู้อื่น เช่น เห็นว่าร้องให้ ในเด็กและวัยรุ่น อาจแสดงออกเป็นอารมณ์หงุดหงิดได้
2. ความสนใจในกิจกรรมต่าง ๆ ลดลงอย่างมาก รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า หรือรู้สึกผิดอย่างไม่เหมาะสมหรือมากเกินควร
3. น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หรือเบื่ออาหาร หรือเจริญอาหาร จนผิดไปจากปกติ
4. นอนไม่หลับ หรือนอนหลับมากเกินไป
5. กระสับกระส่าย หรือเชื่องช้าลงจากปกติ
6. อ่อนเพลีย หรือรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
7. สมาธิ หรือความสามารถในการคิดพิจารณาลดลง หรือตัดสินใจอะไรไม่ได้
8. คิดถึงเรื่องการตายอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่ได้มีการวางแผนที่แน่นอน หรือพยายามฆ่าตัวตาย หรือมีแผนในการฆ่าตัวตายไว้แน่นอน
สาเหตุของโรคไบโพลาร์
สาเหตุของโรคไบโพลาร์นั้นมีได้หลายสาเหตุ โดยปัจจุบันเชื่อว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น
• ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ความผิดปกติของสารสื่อประสาท ความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ความผิดปกติของระบบฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย ความผิดปกติของการทำงานในส่วนต่างๆ ของสมอง ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ และการตอบสนองต่อความเครียด ความกลัว หรือความตื่นเต้น
• ปัจจัยทางจิตสังคม เช่น ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความเครียด หรือปัญหาต่างๆ ภายในชีวิตได้ แม้ว่าปัจจัยทางสังคมจะไม่ใช่สาเหตุของโรค แต่ก็สามารถเป็นตัวกระตุ้น ที่ทำให้โรคแสดงอาการออกมาได้
• ปัจจัยทางพันธุกรรม มีการศึกษาพบว่า จะพบโรคนี้ได้บ่อยขึ้น ในครอบครัวที่มีผู้ป่วยเป็นไบโพลาร์อยู่ โดยเฉพาะในญาติที่มีความใกล้ชิดเชื่อมโยงทางสายเลือด
• ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ได้รับแรงกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก ที่กระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจ เช่น ความผิดหวัง เสียใจอย่างรุนแรงหรือฉับพลัน การเจ็บป่วยทางกาย ปัญหาความสัมพันธ์กับบุคคลใกล้ชิด ความเครียดจากการเรียนและการทำงาน เป็นต้น
การรักษาโรคไบโพลาร์
หากคุณสงสัยว่า ตนเองหรือคนใกล้ตัวอาจเป็นไบโพลาร์ ก็ควรไปพบจิตแพทย์ โดยจะมีการตรวจร่างกาย รวมถึงตรวจเลือด หรือปัสสาวะ เพื่อหาสาเหตุของอาการที่ทำให้เกิดภาวะอารมณ์ไม่มั่นคง จากนั้น จิตแพทย์จะใช้ชุดคำถาม เพื่อทดสอบว่าเป็นโรคไบโพลาร์หรือไม่ และเตรียมการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
เมื่อวินิจฉัยแล้วว่า ป่วยเป็นไบโพลาร์จริง ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาตามระดับความรุนแรง และลักษณะของอาการ โดยในเบื้องต้น แพทย์จะจ่ายยาเพื่อปรับสมดุลของสารสื่อประสาท ที่เป็นเหตุให้เกิดอารมณ์แปรปรวนก่อน นอกจากนี้ ผู้ป่วยไบโพลาร์จะต้องเข้ารับกระบวนการบำบัดจากจิตแพทย์อย่างต่อเนื่อง และใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่หยุดยาเองจนกว่าแพทย์จะสั่งให้หยุดใช้ เพื่อปรับสารสื่อประสาทในสมอง ให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ
การป้องกันโรคไบโพลาร์
แม้จะยังไม่มีวิธีที่แน่นอน ที่จะช่วยป้องกันโรคไบโพลาร์ได้ แต่ก็มีวิธีที่ช่วยป้องกัน ไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ นั่นก็คือ
• การเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ และกินยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อให้สภาวะอารมณ์คงที่ และป้องกันการเกิดอารมณ์แปรปรวน
• ไม่หยุดรักษา หรือเลิกกินยากลางคัน เพราะคิดว่าอาการดีขึ้นแล้ว เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับมาเป็นได้อีก หรืออาการแย่ลงกว่าเดิม
• ระมัดระวังเรื่องการใช้ยา เพราะจะส่งผลกระทบต่อสารเคมีในสมอง ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์
• สังเกตอาการที่เป็นสัญญาณสำคัญของโรค หรืออาการแทรกซ้อนต่างๆ แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา
“Expert ดีดี” โควิด-19 ไอ หวัด ปวดท้อง ภูมิแพ้ อย่าปล่อยให้เรื้อรัง ปรึกษาฟรี คลิกเลย!
ติดตามGedGoodLife ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่…
Facebook : GEDGoodLife
Nutroplex : nutroplexclub
Twitter : @gedgoodlife
Line : @gedgoodlife
Youtube : GEDGoodLife ชีวิตดีดี