ไมเกรน (Migraine) คือ อาการปวดศีรษะข้างเดียว ซึ่งเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณบ่า คอ ท้ายทอย และเกิดก้อนเนื้ออักเสบที่เรียกว่า Trigger Point บริเวณดังกล่าว มีผลทำให้เลือด และออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะได้ไม่สะดวก
เมื่อมีความเครียด มี ‘ แสง สี เสียง กลิ่น ‘ รบกวน พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ เป็นประจำ จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากขึ้น จึงเกิดอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือไม่ก็ปวดสลับข้าง หรือมีอาการปวดศีรษะทั้ง 2 ข้างก็ได้
ปวดตุ้บ ๆ เป็นจังหวะ ปวดมากขึ้นเมื่อขยับร่างกาย ปวดมากจนไม่เป็นอันทำอะไร ทนแสงแดดจ้าหรือเสียงดังไม่ค่อยได้ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วยเป็นบางครั้ง จะมีอาการปวดศีรษะนาน 4 – 72 ชั่วโมง
รู้ได้อย่างไรว่าเป็น ไมเกรน
สังเกตตัวเองเวลาปวดศีรษะ เมื่อกินยาแก้ปวดศีรษะแล้วไม่หาย ตรวจร่างกายแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ และมีอาการตามที่กล่าวมาข้างต้น เข้าข่ายเป็นโรค ‘ไมเกรน’ ค่ะ
ตัวเร่งที่ไปกระตุ้นการเกิดไมเกรน มีดังนี้
- ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงช่วงมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ ช่วงหมดประจำเดือน หรือการกินยาเม็ดคุมกำเนิด
- อาหารบางชนิด เช่น ชีส ไวน์แดง ช็อกโกแล็ต น้ำตาลเทียม ผงชูรส ชา และกาแฟ
- การกระตุ้นทางประสาทสัมผัส เช่น แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นบุหรี่ กลิ่นฉุนต่างๆ
- พักผ่อนไม่เพียงพอ เช่น นอนดึก นอนไม่พอ หรือนอนมากเกินไป
- สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน ฝุ่นควัน
- ความเครียดไม่ได้ทำให้เป็นไมเกรนแต่อย่างใด แต่ด้วยพันธุกรรมทำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อไมเกรนอยู่แล้ว เป็นไมเกรนขึ้นมาได้
- เมื่อใดก็ตามที่เครียด จะปวดหัวได้ 2 แบบ แบบแรก คือมึน ๆ เรียกปวดหัวเครียด และแบบสอง คือปวดหัวแบบไมเกรน หรือแบบผสม เช่น ปวดตุ้บ ๆ คลื่นไส้ อาเจียน
การรักษาไมเกรน
ยังไม่มีวิธีการรักษาใด ๆ ที่ช่วยให้หายขาดได้ เพียงแค่บรรเทาอาการปวดศีรษะให้ทุเลาลงเท่านั้น
- ราดน้ำบนศีรษะด้วยน้ำเย็นต่อเนื่องกัน 5 -10 นาที หรือแปะด้วยถุงเจลแช่เย็น (Cold Pad) บริเวณหน้าผากและเบ้าตา และรีบนอนทันทีเมื่อเริ่มมีอาการ
- กายภาพบำบัด หรือนวดกดจุดลดขนาดพังผืดบริเวณบ่า และกดเพื่อทำให้จุดกดเจ็บ (Trigger Point )ให้มีขนาดลดลง ตลอดจนกดจุดบริเวณบ่า คอ ไหล่ และบริเวณศีรษะด้านที่ปวด รักษาได้ทั้งอาการไมเกรนเฉียบพลัน และป้องกันการกลับมาของอาการไมเกรนได้ดี
รับมือกับไมเกรนอย่างไรไม่ให้ทรมาน
แม้ว่าอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนจะรักษาไม่หาย แต่สามารถดูแลตัวเองเพื่อบรรเทา และลดความถี่ในการถูกกระตุ้นจนเกิดอาการปวดได้โดยปฏิบัติดังนี้
- นอนหลับให้เพียงพอ ควรนอนให้ได้ประมาณ 6 ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน เข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวัน
- หยุดพักร่างกายเมื่อมีอาการ ทำสมาธิ หรือนอนพัก ร่วมกับการประคบน้ำเย็นบริเวณต้นคอ พร้อมกับนวดบริเวณที่ปวดก็จะช่วยบรรเทาอาการได้
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายติดต่อกันไม่น้อยกว่า 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และลดความเครียดซึ่งอาจจะช่วยลดความถี่ของการปวดได้
- จดบันทึกอาการปวดที่เป็น เช่น วัน เวลา ระยะเวลา ลักษณะอาการปวด อาหารที่รับประทาน รวมถึงความผิดปกติต่าง ๆ ที่ทำให้เป็น
เมื่อไรควรรีบไปพบแพทย์
ถ้ามีอาการปวดศีรษะ แล้วมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้สูง ตาเห็นภาพซ้อน ตาเหล่ ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด แบบนี้ไม่ใช่ไมเกรนแน่ แต่เป็นความผิดปกติทางระบบประสาท หรืออาการปวดศีรษะแบบที่ไม่เคยปวดมาก่อน เช่น ปวดต่อเนื่องยาวนานไม่ดีขึ้นแม้ใช้ยา แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีก พูดไม่ออก ถ้ามีอาการแบบนี้ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
แม้อาการปวดศีรษะแบบไมเกรนจะไม่น่าคบหาสมาคม แต่เมื่อเป็นแล้วรู้จักรับมืออย่างถูกวิธี ไมเกรนก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตประจำวันแต่อย่างใดนะคะ
ถามหมอออนไลน์ ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไข้หวัด อาการไอ ปวดท้อง ภูมิแพ้ ได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ถามเลย ที่นี่
ติดตามGedGoodLife ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่…
Facebook : GEDGoodLife
Nutroplex : nutroplexclub
Twitter : @gedgoodlife
Line : @gedgoodlife
Youtube : GEDGoodLife ชีวิตดีดี