ท้องเสีย หรือ โรคอุจจาระร่วง มีสาเหตุ อาการ วิธีรักษาอย่างไร?

1 ก.ค. 24

ท้องเสีย

ท้องเสีย คืออาการที่ทำให้ผู้ป่วยทรมาน ถ่ายเหลวได้ตลอดทั้งวัน และอาจเกิดภาวะช็อกจากการขาดน้ำได้! ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ควรศึกษาและทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไปของโรค รวมถึงรู้จักวิธีดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคนี้ด้วย มาเช็กกันเลยว่า ท้องเสีย หรือ โรคอุจจาระร่วง มีสาเหตุ อาการ วิธีรักษาอย่างไรบ้าง…

ท้องเสีย คืออะไร ใครเสี่ยงท้องเสียได้บ่อย?

ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน หรือ โรคอุจจาระร่วง (diarrhea) หมายถึง ภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งใน 24 ชั่วโมง (หรือถ่ายเป็นน้ำจำนวนมากอย่างน้อย 1 ครั้งใน 24 ชั่วโมง) เป็นโรคที่พบได้บ่อยตลอดทั้งปี ผู้ป่วยมักมีอาการที่รุนแรงแตกต่างกันไป และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในผู้ป่วยบางรายได้

กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอาการท้องเสียได้บ่อย ได้แก่

  • เด็กเล็ก
  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ถูกสุขอนามัยเป็นประจำ
  • สตรีตั้งครรภ์ (ปกติก่อนตั้งครรภ์ขับถ่ายปกติ แต่พอตั้งครรภ์อาจเกิดอาการท้องเสียได้บ่อย)
  • ผู้ที่มีการทำงานของภูมิคุ้มกันบกพร่อง

สาเหตุ และประเภทของโรคอุจจาระร่วง มีอะไรบ้าง?

โรคอุจจาระร่วง มีหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น จากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อโนโรไวรัส (norovirus) และ โรตาไวรัส (rotavirus), การติดเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อโปรโตซัว, และอาจเกิดจากการไม่ติดเชื้อ เช่น จากโรคประจำตัว, โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง, จากการกินยา, สมุนไพรบางชนิด, การกินสารพิษ, อาหารรสจัด เป็นต้น

โรคอุจจาระร่วง สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ตามระยะเวลาที่เกิดโรค ดังนี้

1. โรคอุจจาระร่วงแบบเฉียบพลัน (Acute diarrhea) เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด

  • ระยะเวลา :  1-3 วัน และไม่มากกว่า 14 วัน
  • สาเหตุ : การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรืออาจเกิดจากอาหารเป็นพิษ

2. โรคอุจจาระร่วงต่อเนื่อง (Persistent diarrhea)

  • ระยะเวลา : 14-30 วัน
  • สาเหตุ : การติดเชื้อเชื้อโปรโตซัว เชื้อแบคทีเรีย หรืออาจเกิดจากโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

3. โรคอุจจาระร่วงเรื้อรัง (Chronic diarrhea)

  • ระยะเวลา :  มากกว่า 30 วันขึ้นไป
  • สาเหตุ : การติดเชื้อ หรือเกิดจากภาวะลำไส้แปรปรวน และโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

ท้องเสีย หรือ โรคอุจจาระร่วง มักมีอาการอย่างไร?

  • ถ่ายเหลวเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งใน 24 ชั่วโมง
  • อาเจียน
  • อุจจาระเป็นมูกปนเลือด อุจจาระเป็นสีดำ
  • ปวดท้อง ปวดเกร็ง หรือปวดบิด
  • มีไข้หวัด ปวดศรีษะ
  • หน้าแดง ผิวแห้ง

โดยทั่วไปโรคท้องเสียส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงสามารถหายได้เอง แต่ในระหว่างที่มีอาการอาจเกิดอันตรายได้ หากมีอาการอาเจียนมากจนกินอะไรไม่ได้ หรือถ่ายมากจนขาดน้ำ ซึ่งอาจมีอาการเช่น หิวน้ำ ปากแห้ง ตาโบ๋ กระวนกระวาย ซึม เป็นต้น

อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยท้องเสีย

หากมีอาการท้องเสีย ไม่ควรงดรับประทานอาหาร แต่ให้เลือกรับประทานอาหารอ่อน ที่สะอาด ปรุงสุก และย่อยง่าย เพื่อชดเชยภาวะร่างกายขาดน้ำ หรือภาวะร่างกายสูญเสียวิตามิน และเกลือแร่ เช่น

  • โจ๊ก
  • ข้าวต้ม
  • ซุปเต้าหู้
  • เนื้อปลา

ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่

  • อาหารรสจัด
  • อาหารมันจัด

เนื่องจากทำให้เกิดการระคายเคืองของทางเดินอาหาร รวมทั้งอาจทำให้อาการท้องเสียแย่ลง

เกลือแร่ ORS

ท้องเสียต้องจิบเกลือแร่ ORS เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

เมื่อมีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำ ให้ใช้ยาผงเกลือแร่โออาร์เอส (ORS) โดยยานี้มีประโยชน์ในการป้องกัน และรักษาการสูญเสียน้ำ และเกลือแร่จากท้องเสีย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ และเกลือแร่อย่างรุนแรง ทำให้ความดันเลือดตก และช็อคได้ โดยเฉพาะในผู้มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?

โดยทั่วไป ผู้ป่วยท้องเสียสามารถหายได้เอง ภายในระยะเวลา 3 วัน โดยไม่ต้องไปพบแพทย์ แต่หากมีอาการเหล่านี้ ก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • มีระดับความรุนแรงของการสูญเสียน้ำมาก เช่น อ่อนเพลียมาก สติสัมปชัญญะลดลง ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้
  • อุจจาระเป็นมูก หรือปนเลือด
  • มีไข้ นอนซม อ่อนเพลีย
  • ถ่ายเหลวเป็นน้ำซาวข้าวปริมาณมาก อุจจาระไหลพุ่งออกมาโดยไม่มีอาการปวดท้อง

ท้องเสียสามารถป้องกันได้ หากดูแลสุขอนามัยอย่างถูกต้อง

เนื่องจากโรคท้องเสียส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสโดยตรง หรือทางอ้อมกับเชื้อโรค และการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย ฉะนั้นการป้องกันที่ดี คือ

  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน ล้างมือทุกครั้งก่อน-หลังทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
  • ควรบริโภคอาหารที่ปรุงสุก ถูกสุขอนามัย จะช่วยป้องกันโรคท้องเสียได้
  • ดื่มน้ำสะอาด และควรระวังการกินน้ำแข็งที่ไม่สะอาด
  • สำหรับเด็กเล็ก การกินนมแม่จะช่วยป้องกันโรคท้องเสียจากเชื้อไวรัสได้ส่วนหนึ่ง
  • รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรตาไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการท้องเสีย โดยเฉพาะในเด็กทารก 1 ปีขึ้นไป

 

อ้างอิง : 1. thaijo 2. medparkhospital 3. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

บทความที่เกี่ยวข้อง

askexpert

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้ประเภทนี้จะช่วยจดจำข้อมูลคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ท่านใช้เข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลการลงทะเบียนหรือ log in ข้อมูลการตั้งค่าหรือตัวเลือกที่ท่านเคยเลือกไว้บนเว็บไซต์ เช่น ภาษาที่แสดงบนเว็บไซต์ ที่อยู่สำหรับจัดส่งสินค้า เพื่อให้ท่านสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องให้ข้อมูลหรือตั้งค่าใหม่ทุกครั้งที่ท่านเข้าใช้เว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจใช้งานเว็บไซต์ได้ไม่สะดวกและไม่เต็มประสิทธิภาพ
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์เเละด้านฟังก์ชั่น

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อให้เราสามารถวัดผล ประเมิน ปรับปรุง และพัฒนาเนื้อหาสินค้า/บริการและเว็บไซต์ของเราเพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของท่าน ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ประเมิน และพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

  • คุกกี้โฆษณา

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและสร้างโปรไฟล์เกี่ยวกับตัวท่าน เพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์และนำเสนอเนื้อหา สินค้า/บริการ และ/หรือ โฆษณาที่เหมาะสมกับความสนใจของท่านได้ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจได้รับข้อมูลและโฆษณาทั่วไปที่ไม่ตรงกับความสนใจของท่าน
    Cookies Details

Save