แสงแดดอันแผดเผาของบ้านเราในช่วงนี้ เรียกได้ว่ามีดีแค่เอาไว้ตากผ้ากันเลยทีเดียว เพราะนอกจากรังสียูวีในแดดจะทำร้ายผิวของเราแล้ว อุณหภูมิที่ร้อนจัด ก็ยังทำให้เสียสุขภาพได้อีกด้วย เพราะอุณหภูมิสูง ๆ จากแดดร้อน ๆ ก็สามารถทำให้คุณเป็น “หวัดแดด” ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทำงานกลางแจ้งต้องระวังอย่างยิ่ง แต่เหล่ามนุษย์เงินเดือนในห้องแอร์ ก็ชะล่าใจไม่ได้เช่นกันนะ!
- ไข้หวัดแดด เกิดจากอะไร ใครบ้างต้องระวัง!
- ป่วยเป็นไข้หวัด ควรกินอะไรดี? พร้อมแนะ! วิธีใช้ยาแก้หวัดสูตรผสม
- 10 ผลไม้ฤทธิ์เย็น กินแล้วชื่นใจ ดีต่อร่างกายในหน้าร้อน
หวัดแดด หรือ ไข้หวัดแดด (Summer Cold) คืออะไร?
หวัดแดด (โรคหวัดในฤดูร้อน) คือการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจในช่วงหน้าร้อน (เป็นเชื้อในกลุ่มไข้หวัดใหญ่) มักเกิดขึ้นในเดือนเมษายน ถึง มิถุนายน ยิ่งอากาศร้อนมาก ก็ยิ่งทำให้ตัวร้อนมากขึ้น ก็จะเสี่ยงต่อการเป็นไข้สูง เพราะร่างกายระบายความร้อนยากขึ้น
ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทยที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น และอากาศร้อนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นช่วงที่เด็ก ๆ ปิดเทอม (โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์) หลายครอบครัวต่างพากันเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการรับประทานอาหารนอกบ้าน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ (ตั้งแต่จมูก คอ หลอดลมไปจนถึงปอด) และเป็นที่มาของไข้หวัดแดดได้
ข้อควรรู้ที่หลายคนเข้าใจผิด : เราไม่ได้เป็นหวัดเพราะโดนแดด แต่เราเป็นหวัดเพราะติดเชื้อไวรัสที่อยู่ตามอากาศ โดยมีแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการได้มากขึ้น
อย่าประมาท! หวัดแดด เป็นได้ทุกวัย
ไข้หวัดแดดนี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ที่สามารถป่วยเป็นไข้หวัดแดดได้มากกว่าปกติ คือ
- ผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้ง เช่น เกษตรกร นักกีฬา เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ
- ผู้ที่ต้องเข้าออกไปมาบ่อย ๆ ระหว่างสถานที่เย็นจัด ไปร้อนจัด
- ผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัด ต่อเนื่อง เป็นเวลานาน
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง, คนอ้วน, ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ, ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ผู้ที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง
ปัจจัย 4 ประการ ทำให้เจ็บป่วยจากภาวะอากาศร้อน
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ให้ข้อมูลว่า การเจ็บป่วยจากภาวะอากาศร้อน เป็นภาวะวิกฤตที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัว หรือควบคุมระดับความร้อนในร่างกายได้ มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม 4 ประการ ได้แก่
- อุณหภูมิของอากาศที่ร้อน
- ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่สูงขึ้น
- การอยู่กลางแจ้ง หรืออยู่ในที่ที่อาจได้รับรังสีความร้อน
- สภาวะที่มีลม หรือการระบายอากาศน้อย
อาการไข้หวัดแดด มีอะไรบ้าง?
– ตัวร้อน มีไข้รุม ๆ แต่ต่ำกว่า 40 องศาเซลเซียส
– ปวดศีรษะ มึนศีรษะ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
– ตาแดง อาจมีอาการปวดแสบที่กระบอกตา ซึ่งกรณีนี้ต้องระวังมาก เพราะเป็นอาการแสดงว่าร่างกายสะสมความร้อนไว้มาก จนร่างกายเริ่มรับไม่ไหวแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์
– ริมฝีปากแห้ง แข็ง แต่ไม่แตกลอก ปากแห้ง คอแห้ง แสบคอ แต่ไม่ถึงกับเจ็บคอ
– ครั่นเนื้อครั่นตัว เป็นตะคริว
– ปากจืด ปากขม เบื่ออาหาร กินอะไรก็ไม่อร่อย คลื่นไส้ อาเจียน
– นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ
– ปั่นป่วนท้อง ท้องเสีย ขับถ่ายไม่ปกติ เช่น ถ่ายไม่เป็นเวลา ถ่ายยาก ปัสสาวะกะปริบกะปรอย เวลาปัสสาวะจะรู้สึกมีความร้อนสูงออกมาด้วย
- อาการ ขมปาก ขมคอ เป็นเพราะอะไร บ่งบอกถึงโรคอะไรได้บ้างนะ?
- เมื่อมีอาการ ปวดหัวไมเกรน คลื่นไส้ อาเจียน ควรทำอย่างไรดี?
หวัดแดด กับ หวัดธรรมดา ต่างกันตรงไหน?
หากอยากรู้ว่าตนเองป่วยเป็นหวัดธรรมดา (common cold) หรือว่าเป็นไข้หวัดแดดกันแน่ ก็สามารถสังเกตอาการเด่น ๆ เพื่อแยกโรคได้ ดังนี้
ไข้หวัดธรรมดา – มีไข้ ปวดศีรษะ เป็นหวัด เป็นหวัดปวดหัว คัดจมูกมาก อ่อนเพลีย และ มีอาการเจ็บคอ น้ำมูกไหล มีเสมหะร่วมด้วย
ไข้หวัดแดด – จะเกิดจากร่างกายสะสมความร้อนเอาไว้มาก จนระบายออกไม่ทัน ผู้ป่วยจะมีไข้ ตัวร้อน ปวดศีรษะมาก ตาแดง แต่ไม่ค่อยคัดจมูก มีน้ำมูก หรืออาจมีน้ำมูกใสเล็กน้อย และไม่มีอาการเจ็บคอ แต่จะรู้สึกขมปาก คอแห้ง แสบคอแทน
- โรคไข้หวัด โรคยอดฮิตตลอดทั้งปี! สาเหตุ อาการ วิธีรักษา และการป้องกัน
- เป็นหวัด ควรกินยาอะไรดี? แล้วอะไรคือสาเหตุของไข้หวัด? เรื่องควรรู้ก่อนซื้อยา
การรักษา และป้องกันไข้หวัดแดด
ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า หวัดแดดเกิดขึ้นจากเชื้อตัวเดียวกับไข้หวัดใหญ่ แนวทางการรักษาจึงคล้ายกับวิธีรักษาไข้หวัด ดังนี้
– หมั่นเช็ดตัวบ่อย ๆ เพื่อระบายความร้อนภายใน
– นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน และไม่ควรนอนดึกเกินไป
– หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด ควรพกร่ม หรือใส่เสื้อคลุมกันแดด หากต้องอยู่กลางแจ้งนาน ๆ
– หลีกเลี่ยงการไปยังสถานที่ผู้คนแออัด
– ช่วงที่อากาศร้อน ควรสวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย เนื้อผ้าไม่หนาเกินไป สีอ่อน และระบายอากาศได้ดี
– ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว และทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพื่อช่วยป้องกันหวัด
อ่านเพิ่มเติม – ผักผลไม้วิตามินซีสูง เพื่อสุขภาพดี ๆ ห่างไกลหวัด
• รักษาสุขภาพอนามัยให้ดี สวมใส่หน้ากากอนามัยเสมอที่ต้องออกนอกบ้าน เพื่อลดการรับเชื้อโรคเข้าสู่ทางเดินหายใจ ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำ และก่อนรับประทานอาหาร
• ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ สัปดาห์ละ 3 ครั้งอย่างน้อย เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง
เมื่อไหร่ที่ควรเข้าพบแพทย์
ถ้าผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ ไม่ควรนิ่งนอนใจ รีบเข้าพบแพทย์ใกล้บ้าน เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที
- มีไข้สูงเกิน 39.4 องสาเซลเซียส
- มีอาการไอ มีเสมหะบ่อย ๆ
- หายใจสั้นลง
- มีอาการเจ็บหน้าอก โดยเฉพาะเมื่อหายใจเข้า
- เวียนหัว หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
- มีผื่นขึ้นตามตัว
- มีอาการอาเจียนบ่อยครั้ง
อ้างอิง : 1. สสส. 2. matichon 3. healthline 4. พบหมอรามาฯ 5. uptownallergyasthma