เมื่อเริ่มเป็นหวัด ก็ทรมานกับอาการไอมาตลอด จนรักษาหวัดหายแล้ว แต่ทำไม อาการไอ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไปด้วย ถ้ามี อาการไอหลังเป็นหวัด อาจเกิดจากสาเหตุอื่นแทรกซ้อนได้ มาดูกันว่า อาการไอหลังเป็นหวัดเกิดจากอะไร จะรักษาอย่างไร
อาการไอหลังเป็นหวัด คืออะไร?
อาการไอหลังเป็นหวัด หรือ อาการไอหลังติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (Post-infectious cough) คือ การไอหลังการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งโดยปกติก็จะไอมาก่อนแล้วราว 2 สัปดาห์ ตั้งแต่เริ่มเป็นหวัด ไม่ว่าเกิดจากไวรัส หรือแบคทีเรียบางชนิด แม้ว่าอาการไข้ เจ็บคอ จะหายไปแล้ว แต่บางคนยังคงมีอาการไอต่อเนื่องไปอีก 3-8 สัปดาห์ ซึ่งโดยปกติ อาการไอจะหายไปภายใน 2 เดือนโดยไม่ต้องรักษา
สาเหตุของ อาการไอหลังเป็นหวัด
– ทางเดินหายใจอักเสบยังไม่หายดี ถึงแม้อาการไข้หวัดอื่น ๆ จะหายดีแล้ว แต่อาจยังมีการอักเสบของทางเดินหายใจต่อเนื่องไปได้อีกสักระยะ ทั้งเยื่อบุจมูก ลำคอ หลอดลม ทำให้มีอาการไอต่อเนื่องหลังหวัดหายแล้ว
– หลอดลมไวต่อการกระตุ้น หลังการติดเชื้อไวรัส อาจทำให้หลอดลมมีความไวต่อการถูกกระตุ้น (Bronchial Hyperresponsiveness หรือ BHR) แล้วจะมีการไอเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะถ้าพักผ่อนไม่พอหรือใช้เสียงมากอยู่
– น้ำมูกไหลลงคอ อาจมีภาวะน้ำมูกไหลลงคอ (postnasal drip) ทำให้รู้สึกระคายคอ หรือ คันคออยู่ตลอดเวลา แต่ไอไม่ออก
ลักษณะของ อาการไอหลังเป็นหวัด
1. กรณีที่มีการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนบน (upper airway) ผู้ป่วยมักรู้สึกระคายคอตลอดเวลา ไอกระแอมบ่อย ๆ (throat clearing cough) ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวของจมูกอยู่เดิม เช่น จมูกอักเสบภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบติดเชื้อ อาจจะไอนานกว่าคนทั่วไป
2. กรณีที่มีการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนล่าง (lower airway) ผู้ป่วยมักไอมักมีเสมหะ และไวต่อสารระคายเคือง (ฝุ่น ควัน กลิ่นฉุน)
3. บางรายที่ไออยู่นาน อาจมี ภาวะกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease) เป็นผลตามมา ซึ่งทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น
การวินิจฉัยแยกโรค
ก่อนจะบอกว่าเป็น อาการหลังติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (Post-infectious cough) นั้น แพทย์จะถามประวัติ ตรวจร่างกาย รวมถึงพิจารณาเอกซเรย์ในบางราย เพื่อวินิจฉัยแยกโรคอื่นที่อาจเป็นไปได้เสมอ เช่น “ไซนัสอักเสบติดเชื้อ โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ โรคหืดกำเริบ กรดไหลย้อน หรือจริง ๆ เป็นการติดเชื้อไอกรนตั้งแต่แรก”
1. ไซนัสอักเสบติดเชื้อ มีอาการทางจมูกเด่น คัดจมูก น้ำมูกเปลี่ยนสี ไข้ อาจปวดบริเวณใบหน้าหรือไม่ก็ได้ (กรณีที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักเป็นนานหรือรุนแรงกว่าไวรัส)
2. โรคหืดกำเริบ มีประวัติโรคหืดอยู่เดิม หายใจเสียงหวีด แน่นหน้าอก
3. กรดไหลย้อน มีอาการไอมากขึ้นในบางช่วง เช่น นอนราบ หลังอาหาร พูด, หัวเราะ อาจไม่พบอาการของกรดไหลย้อน เช่น แสบร้อนอก เรอเปรี้ยว ก็ได้ (extra-esophageal GERD)
การรักษาอาการไอด้วยยา
กรณี “ไอหลังไข้หวัดธรรมดา”
– ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะไม่เกิดประโยชน์ ส่วนใหญ่มักดีขึ้นเรื่อย ๆ และหายเองภายใน 2 เดือน
– การรักษาเสริม เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูด รายที่ไอมากอาจใช้ ipratropium ชนิดสูด สเตียรอยด์ชนิดกิน prednisolone 30 mg/d ช่วงสั้น 1-2 สัปดาห์
– อาจให้ยากดอาการไอช่วงสั้น ในกรณีที่ผู้ป่วยไอจนรบกวนชีวิตประจำวัน
การดูแลตัวเอง เมื่อมีอาการไอหลังเป็นหวัด
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- รักษาร่างกายให้อบอุ่น
- ดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ
- งดอาหารประเภททอด ๆ หรือ อาหารรสเผ็ด
หลังจากดูแลตัวเองตามนี้ พอภูมิต้านทานดีขึ้น อาการไอก็จะค่อย ๆ ลดลง และหายไปได้เอง เแต่ถ้ามี อาการไอ เป็นระยะเวลานาน ๆ อาจจะเข้าข่ายกลุ่มไอเรื้อรัง ควรพบแพทย์ เพื่อจะได้ตรวจวินิจฉัย ซึ่งแพทย์อาจจะซักประวัติความเจ็บป่วยใหม่ทั้งหมด พร้อมทั้งตรวจร่างกายโดยละเอียด เพื่อดูสาเหตุของการไอ
อ้างอิง : 1. ภูมิแพ้แก้ได้ Allergic march 2. bangkokhospital