ไอแบบมีเสมหะต่างจากไอแบบอื่นๆ อย่างไร ทำไมต้องเลือกยากแก้ไอให้ถูกประเภท
อาการไอเป็นสัญญาณของร่างกายที่อยู่คู่มนุษย์มาทุกยุคสมัย เป็นกลไกธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่น ควัน หรือเชื้อโรค เข้าสู่ทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการระคายเคือง ร่างกายจึงพยายามกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกด้วยการไอ หลายคนมักเข้าใจว่าเมื่อมีอาการไอ การซื้อยาแก้ไอทั่วไปจะช่วยบรรเทาได้ แต่ความจริงแล้ว อาการไอมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบตอบโจทย์การรักษาที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอาการไอแบบมีเสมหะ ที่จำเป็นต้องพิถีพิถันเลือกใช้ยาที่เหมาะสม มาร่วมค้นหาว่าอาการไอแบบมีเสมหะต่างจากแบบอื่นอย่างไร และทำไมการเลือกใช้ยาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ไอแบบมีเสมหะคืออะไร?
ไอแบบมีเสมหะเกิดจากการที่ร่างกายพยายามขับเสมหะหรือเมือกที่สะสมอยู่ในทางเดินหายใจออกมา อาการนี้มักเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไซนัสอักเสบ ภูมิแพ้ หรือโรคหืด หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หากอาการไอเกิดในช่วงกลางคืนมักมีเสมหะไหลลงคอขณะนอนหลับ ท่าราบทำให้เสมหะไหลเข้าสู่ลำคอและกระตุ้นให้เกิดอาการไอมากขึ้น
นอกจากนี้ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ปอดอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมของสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งร่างกายจะพยายามขับออกมา ทำให้เกิดอาการไอแบบมีเสมหะ
เสมหะนั้นมีหน้าที่ช่วยดักจับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม แต่เมื่อมีปริมาณมากเกินไป อาจทำให้การหายใจลำบากและกระตุ้นให้ไอหนักขึ้น การรักษาอาการไอแบบมีเสมหะจึงจำเป็นต้องเลือกใช้ยาที่เหมาะสมเพื่อลดเสมหะและช่วยให้การหายใจดีขึ้น
อาการไอแบบมีเสมหะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
- ไอมีเสมหะแบบเฉียบพลัน – จะมีอาการไอที่ไม่เกิน 3 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ หากไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรง
- ไอมีเสมหะแบบเรื้อรัง – อาการไอเรื้อรังจะมีอาการต่อเนื่องนานกว่า 8 สัปดาห์ขึ้นไป สำหรับเด็กจะอยู่ที่ประมาณ 4 สัปดาห์ หากไอมีเสมหะนานเกินกว่าระยะเวลานี้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่น ๆ เช่น โรคปอดอักเสบ หอบหืด หรือโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจเรื้อรังอื่น ๆ ซึ่งหากปล่อยไว้นานอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและระบบการหายใจในระยะยาว การเข้าพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการนานผิดปกติจึงสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการทรุดลงและรักษาได้ทันเวลา
อาการไอแบบมีเสมหะต่างจากไอประเภทอื่นอย่างไร?
- ไอแห้ง
ไอแห้งเป็นอาการไอที่ไม่มีเสมหะร่วมด้วย มักเกิดจากการระคายเคืองในลำคอหรือทางเดินหายใจ เช่น อาการแพ้หรือโรคหืด สาเหตุมักเกิดจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ หรือการอักเสบในทางเดินหายใจ แม้จะรู้สึกระคายเคืองและมีอาการไอ แต่จะไม่มีเสมหะออกมาพร้อมกับการไอ - ไอจากการติดเชื้อไวรัส
ไอที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสสามารถมีทั้งแบบมีเสมหะและไม่มีเสมหะ ขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ในบางกรณี อาการไออาจมีเสมหะหรือน้ำมูก แต่ในบางครั้งอาจไม่มีเสมหะเลย ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายและความรุนแรงของการติดเชื้อ - ไอจากการระคายเคือง
เกิดจากการที่ทางเดินหายใจสัมผัสกับสารระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ฝุ่น หรือสารเคมี ทำให้รู้สึกไม่สบายในลำคอและกระตุ้นให้เกิดอาการไอ โดยมักจะไม่มีเสมหะร่วมด้วย สารระคายเคืองเหล่านี้สามารถทำให้ทางเดินหายใจแห้งและเกิดการอักเสบ จึงทำให้เกิดการไอแบบแห้ง
การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างไอแบบมีเสมหะและไอประเภทอื่น ๆ จะช่วยให้สามารถรักษาและเลือกใช้ยาแก้ไอได้อย่างเหมาะสมตามอาการ
ควรดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีอาการไอแบบมีเสมหะ
เมื่อคุณมีอาการไอแบบมีเสมหะในระยะเริ่มแรก การดูแลตนเองและปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยบรรเทาอาการและทำให้รู้สึกดีและผ่อนคลายมากขึ้น
- ดื่มน้ำสะอาด – ดื่มน้ำที่อุณหภูมิปกติ วันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้เสมหะบางลงและขับออกได้ง่ายขึ้น
- ดื่มน้ำสมุนไพร – การดื่มน้ำขิงหรือน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว สามารถช่วยบรรเทาอาการไอ และลดการระคายเคืองในลำคอได้
- ใช้น้ำเกลือกลั้วคอ – การกลั้วคอด้วยน้ำเกลือช่วยลดการระคายเคืองและฆ่าเชื้อในลำคอ ทำให้รู้สึกสบายขึ้น
- งดอาหารบางประเภท – หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทของทอด ของมัน น้ำอัดลม กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจกระตุ้นการเกิดเสมหะมากขึ้น
ยาบรรเทาอาการไอ มีกี่ ชนิด แล้วเหมาะสมกับอาการใด
1. ยาลดหรือระงับอาการไอ (cough suppressants or antitussives) อาจออกฤทธิ์ที่จุดรับสัญญาณการไอส่วนปลาย หรือออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลางของสมองที่ควบคุมอาการไอ ยาชนิดนี้ควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ (non-productive cough)
2. ยาขับเสมหะ (expectorants) ยาชนิดนี้จะกระตุ้นการขับเสมหะโดยกระตุ้นการทำงานของเยื่อบุในระบบทางเดินหายใจในการกำจัดเสมหะ และเพิ่มปริมาณสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ ทำให้ปริมาณเสมหะมากขึ้น ทำให้ไอเอาเสมหะออกมาได้ง่ายขึ้นเช่น potassium guaiacolsulphonate, terpin hydrate, ammonium chloride, glyceryl guaiacolate ยาชนิดนี้ควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ไอแบบมีเสมหะ (productive cough)
3. ยาละลายเสมหะ (mucolytics) ยาชนิดนี้จะช่วยลดความเหนียวของเสมหะลงทำให้ร่างกายกำจัดหรือขับเสมหะออกได้ง่ายขึ้น เช่น ambroxol hydrochloride, bromhexine, carbocysteine ยาชนิดนี้ควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ไอแบบมีเสมหะ บางครั้งนิยมใช้ร่วมกับยาขับเสมหะข้อแนะนำในการใช้ยาแก้ไอ
การใช้ยาแก้ไอควรพิจารณาตามอาการที่เกิดขึ้น และเพื่อให้การรักษาโดยการใช้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด เรามีคำแนะนำในเบื้องต้นมาฝากดังนี้- เมื่ออาการไอมีเสมหะหรือรู้สึกเสมหะหนาแน่น
หากรู้สึกว่ามีเสมหะสะสมและยากต่อการขับออก ควรใช้ยาขับเสมหะหรือยาละลายเสมหะเพื่อช่วยให้เสมหะบางลงและขับออกได้ง่ายขึ้น - เมื่ออาการไอรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
หากอาการไอทำให้รบกวนการนอนหลับ การทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน ควรเริ่มใช้ยาแก้ไอเพื่อบรรเทาอาการและช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อน - เมื่อไอแห้งและระคายเคือง
หากมีอาการไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ การใช้ยาลดหรือระงับอาการไอจะช่วยบรรเทาอาการได้ โดยเฉพาะในช่วงที่รู้สึกระคายคอหรือไออย่างต่อเนื่องโดยไม่มีเสมหะ - เมื่ออาการไอต่อเนื่องเป็นเวลานาน
หากอาการไอไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือมีอาการเรื้อรังนานเกิน 8 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์และอาจใช้ยาตามคำแนะนำเพื่อรักษาอาการอย่างเหมาะสม - เมื่อมีไข้หรืออาการอื่นร่วมด้วย
หากมีอาการอื่น ๆ ร่วมกับการไอ เช่น ไข้สูง หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือรู้สึกอ่อนเพลีย ควรใช้ยาแก้ไอร่วมกับยารักษาอาการอื่น ๆ และเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
ทำไมต้องเลือกยาแก้ไอให้ถูกประเภท?การใช้ยาแก้ไอที่ไม่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร แต่ยังอาจทำให้อาการแย่ลงได้ ยาแก้ไอแบบระงับไอไม่ควรใช้ในผู้ที่มีเสมหะ เพราะจะทำให้เสมหะสะสมและอาจทำให้เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจดังนั้น หากคุณมีอาการไอแบบมีเสมหะ การเลือกใช้ยาที่ช่วยขับเสมหะออกจากร่างกาย เช่น ยาละลายเสมหะ หรือยาแก้ไอแบบเฉพาะเจาะจง จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นการเลือกยาที่เหมาะสมจึงสำคัญมาก และอย่าลืมปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง หากรับประทานยาแก้ไอหรือปฏิบัติตามวิธีดูแลตนเองแล้วอาการไม่บรรเทาลงภายในระยะเวลาที่ควร ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาและตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจเป็นโรคร้ายแรงจะเห็นได้ว่าอาการไอ อาจเกิดจากโรคที่ไม่ร้ายแรง เช่นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและล่าง เช่น หวัด, คอหรือหลอดลมอักเสบ หรือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคที่ร้ายแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ, เนื้องอกบริเวณคอ กล่องเสียงหรือหลอดลม หากผู้ป่วยไม่ได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นหากผู้ป่วยได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้วอาการไอไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์โดยทันที
- เมื่ออาการไอมีเสมหะหรือรู้สึกเสมหะหนาแน่น