หากคุณมีอาการไอเรื้อรัง เสมหะเยอะ เช่น ไอทีมีเสมหะออกมาประมาณครึ่งช้อนได้ อาจสงสัยได้ว่าคุณกำลังป่วยเป็น “โรคหลอดลมโป่งพอง” ซึ่งเป็นโรคที่ต้องรีบพบแพทย์ เพื่อควบคุมอาการของโรคให้ทันกาลก่อนจะลุกลาม วันนี้ Ged Good Life จะพาทุกคนไปรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น พร้อมสาเหตุ อาการ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน
- มีเสมหะในคอตลอดเวลา เสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง?
- 6 อาหารช่วยลดเสมหะเหนียวข้น บรรเทาไอ ที่แพทย์แนะนำ!
- ยาแก้ไอละลายเสมหะ “คาร์โบซิสเทอีน” สรรพคุณ วิธีใช้ให้ถูกต้อง ปลอดภัย
โรคหลอดลมโป่งพอง คืออะไร?
หลอดลมโป่งพอง (Bronchiectasis) เป็นภาวะที่หลอดลมโป่งและพองใหญ่ขึ้น ๆ เป็นกระเปาะ (ขยายตัวขึ้นอย่างผิดปกติ) ทำให้ปัญหาที่ตามมาคือ เสมหะเกิดการคั่งอยู่ในหลอดลม หลอดลมไม่สามารถหดบีบกำจัดออกมาได้ และจะทำให้มีเชื้อโรคสะสมในบริเวณนี้ โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียทำให้ไอมีเสมหะ เสมหะเปลี่ยนสี ถ้าเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อาจทำให้ไอเป็นเลือดได้
โรคหลอดลมโป่งพอง หากเป็นแล้วหลอดลมจะเสียหายอย่างถาวร ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จึงต้องระวังไม่ให้เป็นมากขึ้น ด้วยการรู้จักดูแลตนเองอย่างถูกต้อง ตามคำแนะนำของแพทย์ ในปัจจุบัน การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอก (CT scan) เป็นการวินิจฉัยโรคหลอดลมโป่งพอง ที่ได้รับความนิยมที่สุด และชัดเจนที่สุด
ข้อควรรู้ : หลายคนเข้าใจว่า “โรคหลอดลมโป่งพอง” กับ “ถุงลมโป่งพอง” เป็นโรคเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้ว เป็นคนละโรคกัน อ่านเรื่องถุงลมโป่งพองเพิ่มเติมได้ที่นี่ -> ถุงลมโป่งพอง โรคร้ายของสิงห์นักสูบ
สาเหตุของโรคหลอดลมโป่งพอง
สาเหตุที่ทำให้หลอดลมเกิดความเสียหายมีหลายประการ แต่ที่พบได้บ่อยคือ โรคซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis: CF) ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายมีการสร้างสารคัดหลั่งผิดปกติ หากไม่นับรายที่เกิดจาก “โรคซิสติก ไฟโบรซิส” แล้ว ผู้ป่วยหลอดลมโป่งพองร้อยละ 10-50 เกิดขึ้นโดยที่ไม่พบสาเหตุ
นอกจากนี้ โรคหลอดลมโป่งพอง อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ เช่น
- ปอดอักเสบ
- การติดเชื้อที่ปอด เช่น โรคไอกรน วัณโรค ภาวะปอดติดเชื้ออย่างรุนแรง เป็นต้น
- ภูมิคุ้มกันผิดปกติ
- โรคทางกรรมพันธุ์
- มะเร็งอุดตัน หรือมีสิ่งแปลกปลอมอุดตัน
- หลอดลมตีบ
ความแตกต่างระหว่าง “โรคหลอดลมโป่งพอง” และ “โรคหลอดลมอักเสบ” คืออะไร?
โรคหลอดลมโป่งพอง (Bronchiectasis) และ หลอดลมอักเสบ (Bronchitis) นอกจากมีชื่อภาษาอังกฤษคล้ายกันแล้ว ยังมีอาการคล้ายคลึงกันอีกด้วย ทั้งมีเสมหะในปอด และไอเหมือนกัน แต่โรคหลอดลมโป่งพองทำให้ทางเดินหายใจของคุณกว้างขึ้นอย่างถาวร ส่วน โรคหลอดลมอักเสบเป็นการติดเชื้อชั่วคราว ที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายถาวร
อาการของโรคหลอดลมโป่งพอง
อาการที่พบได้บ่อย
- อาการไอเรื้อรัง
- มีเสมหะจำนวนมาก โดยเสมหะนั้นอาจมีสีใส สีเหลืองอ่อน หรือสีเขียว (บางรายอาจไม่มีอาการไอ หรือมีเสมหะเพียงเล็กน้อย)
ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ มีดังนี้
- หายใจถี่ หายใจมีเสียงหวีด
- เจ็บหน้าอก โดยอาจรู้สึกเจ็บแปลบอย่างเฉียบพลันขณะหายใจ
- อ่อนเพลีย
- ปวดตามข้อ
- น้ำหนักลด
- มีอาการนิ้วปุ้ม ซึ่งเป็นภาวะที่เนื้อเยื่อบริเวณเล็บหนาตัวขึ้นเนื่องจากได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอเป็นเวลานาน ทำให้ปลายนิ้วมีลักษณะกลมและโป่งขึ้นผิดปกติ
- เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจบ่อยขึ้น
ผู้ป่วยโรคนี้อาจมีการติดเชื้อที่ปอดร่วมด้วย ส่งผลให้มีอาการรุนแรงขึ้นภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน อาการที่สังเกตได้ มีดังนี้
- ไอ และมีเสมหะจำนวนมาก
- เสมหะมีสีเขียวกว่าปกติ หรือมีกลิ่นเหม็น
- ไอเป็นเลือด
- หายใจถี่อย่างรุนแรง
- รู้สึกเหนื่อย หรือรู้สึกไม่สบาย
- มีอาการเจ็บแปลบที่หน้าอก ซึ่งจะรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อหายใจ
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรติดต่อแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัย และรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
การรักษาโรคหลอดลมโป่งพอง
ความเสียหายที่เกิดกับปอดจากโรคหลอดลมโป่งพองจะคงอยู่ถาวร แต่การรักษาสามารถช่วยบรรเทาอาการ และหยุดความเสียหายที่แย่ลงได้ (ควบคุมอาการไม่ให้กำเริบ) การรักษาหลัก ๆ ได้แก่
- การออกกำลังกาย และการใช้อุปกรณ์พิเศษที่จะช่วยล้างเมือกออกจากปอด (ควรได้รับคำแนะนำโดยนักกายภาพบำบัด)
- ยาที่ช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศภายในปอด เช่น ยาขยายหลอดลมชนิดพ่น ทำให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้น
- ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการติดเชื้อในปอดที่เกิดขึ้น
- เลิกสูบบุหรี่
การรักษาด้วยกายภาพบำบัด ได้แก่
- สอนไอเพื่อเป็นการขับเสมหะ
- เคาะปอด หรือการสั่นปอดในรายที่มีเสมหะมาก และไม่สามารถไอออกเองได้
- สอนหายใจ โดยการหายใจเข้าทางจมูก และหายใจออกทางปาก โดยอัตราการกายใจเข้า : ออก เป็น 1: 4
การป้องกันโรคหลอดลมโป่งพอง
- ไม่สูบบุหรี่ และหากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่อยู่ ควรลด ละ เลิก เพราะบุหรี่มีผลเสียโดยตรงต่อปอด และหลอดลม
- ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี และ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ปอด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอเป็นประจำทุกวัน
- หมั่นล้างมือให้สะอาด
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไข้หวัด หรือโรคไข้หวัดใหญ่
- หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง และสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ หากต้องไปยังสถานที่เหล่านี้
อ้างอิง : 1. นพ.วินัย โบเวจา 2. pobpad 3. clevelandclinic 4. firstphysioclinic
ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไข้หวัด อาการไอ ปวดท้อง ภูมิแพ้ ได้ฟรี! ตลอด 24 ชั่วโมง ถามเลย ที่นี่
ติดตาม GedGoodLife ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่…
Facebook : gedgoodlife
Nutroplex : nutroplexclub
Twitter : @gedgoodlife
Line : @gedgoodlife
Youtube : gedgoodlife ชีวิตดีดี
TikTok : @gedgoodlife