เมื่อเด็กเริ่มโตขึ้น คุณพ่อคุณแม่ต้องแน่ใจว่า ลูกได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายเติบโต แข็งแรงมีสุขภาพที่ดีที่สุด มาเช็กกันว่า วิตามินเด็ก อะไรบ้างที่จำเป็น และลูกได้รับอย่างเพียงพอไหม
7 วิตามินเด็ก ที่สำคัญกับร่างกายของลูก
1. แคลเซียม (Calcium)
แคลเซียม จำเป็นสำหรับการสร้างกระดูก และ ฟัน โดยเฉพาะในวัยเด็กที่กระดูกยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ หากตั้งแต่เด็กจนโต ได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกเสื่อม เมื่ออายุมากขึ้น แคลเซียมยังช่วยในการทำงานของระบบประสาทอีกด้วย
ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี: 500 มิลลิกรัมต่อวัน
- เด็กอายุ 4-10 ปี: 800 มิลลิกรัมต่อวัน
อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม เนย ชีส โยเกิร์ต ผักใบเขียว เช่น คะน้า ปลาแซลมอน
2. วิตามินเอ (Vitamin A)
วิตามินเอ ช่วยในเรื่องการมองเห็น การเจริญเติบโตของกระดูก การกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ วิตามินเอ ยังช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส และ เส้นผมแข็งแรง
ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี: 300 ไมโครกรัมของ retinol ต่อวัน
- เด็กอายุ 4-5 ปี: 350 ไมโครกรัมของ retinol ต่อวัน
- เด็กอายุ 6-8 ปี : 350 ไมโครกรัมของ retinol ต่อวัน
อาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ นม เนย ชีส โยเกิร์ต ผักใบเขียว เช่น คะน้า ปลาแซลมอน
3. โอลิโกฟรุกโตส (Oligofructose)
โอลิโกฟรุคโตส ไม่ใช่วิตามิน หรือ แร่ธาตุ แต่จัดเป็นเป็น ใยอาหารชนิดหนึ่ง ที่จำเป็นต่อร่างกาย โอลิโกฟรุกโตส เป็นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ มีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกส์ ช่วยปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร ส่งผลดีต่อระบบขับถ่ายของลูก ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยด้วย
ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
Thai RDI แนะนำเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป ให้รับประทานใยอาหาร 25 กรัม ต่อวัน
อาหารที่มีใยอาหาร โอลิโกฟรุกโตส ได้แก่ ผัก ผลไม้ หัวหอม กระเทียม กล้วย
4. วิตามินบี 12 (Vitamin B12)
วิตามินบี 12 ช่วยบำรุงประสาท ทำให้ระบบประสาทแข็งแรงขึ้น ช่วยเพิ่มสมาธิ จึงเป็นวิตามินที่ดีกับเด็กวัยเรียน นอกจากนี้ ประโยชน์วิตามินบี 12 ช่วยทำให้เด็กเจริญอาหาร
ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี: 0.9 ไมโครกรัมต่อวัน
- เด็กอายุ 4-5 ปี: 1.2 ไมโครกรัมต่อวัน
- เด็กอายุ 6-8 ปี : 1.2 ไมโครกรัมต่อวัน
อาหารที่มีวิตามินบี 12 สูง ได้แก่ นม ไข่แดง ชีส ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว ตับ
5. ธาตุเหล็ก (Iron)
ธาตุเหล็ก เป็นแร่ธาตุที่สำคัญกับร่างกาย ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะลำเลียงเอาออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากขาดธาตุเหล็กยังทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ ธาตุเหล็กยังช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย แต่สำหรับเด็กในช่วงที่กำลังเจริญเติบโต หรือ อยู่ในช่วงวัยเรียนนั้น ธาตุเหล็กยิ่งจำเป็นมาก เพราะหากขาดธาตุเหล็ก จะส่งผลต่อพัฒนาการ และความสามารถของการเรียนรู้
ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี: 5.0 มิลลิกรัมต่อวัน
- เด็กอายุ 4-5 ปี: 6.0 มิลลิกรัมต่อวัน
- เด็กอายุ 6-8 ปี : 6.6 มิลลิกรัมต่อวัน
อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ ตับ ถั่ว อาหารทะเล ธัญพืช
6. วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กินเป็นประจำยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคหวัดด้วย ดังนั้นเด็กที่ป่วยเป็นหวัดบ่อย ๆ ควรได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ วิตามินซีช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ด้วย
ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี: 20-25 มิลลิกรัมต่อวัน
- เด็กอายุ 4-5 ปี: 25-30 มิลลิกรัมต่อวัน
- เด็กอายุ 6-8 ปี : 30-40 มิลลิกรัมต่อวัน
อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผัก เช่น ผักใบเขียว มันฝรั่ง มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ และผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว เช่น เบอร์รี่ ส้ม ฝรั่ง
7. วิตามินดี (Vitamin D) ช่วยเสริมการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน หากรับประทานร่วมกับวิตามินเอ และวิตามินซี จะช่วยป้องกันโรคหวัดได้
ปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
- อายุ 1-3 ปี: 10 ไมโครกรัม (μg)
- อายุ 4-6 ปี: 10 ไมโครกรัม (μg)
อาหารที่มีวิตามินดีสูง ได้แก่ ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า นม เนย ชีส
หากลูกเป็นเด็กกินอาหารได้น้อย เลือกกิน ควรเสริมด้วย วิตามินเด็ก เช่น Nutroplex ซึ่งนอกจากมีใยอาหาร Oligofructose จากธรรมชาติ ที่ช่วยในการปรับสมดุล ด้านระบบทางเดินอาหารแล้ว ยังเป็นวิตามินรวมที่มีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นกับพัฒนาการ การเรียนรู้ของเด็กอีกด้วย
“Expert ดีดี” โควิด-19 ไอ หวัด ปวดท้อง ภูมิแพ้ อย่าปล่อยให้เรื้อรัง ปรึกษาฟรี คลิกเลย!
ติดตามGedGoodLife ช่องทางอื่น ๆ ได้ที่…
Facebook : GEDGoodLife
Nutroplex : nutroplexclub
Twitter : @gedgoodlife
Line : @gedgoodlife
Youtube : GEDGoodLife ชีวิตดีดี