- This topic is empty.
-
เริ่มต้นตอบกลับ
-
เอGuest
มีนัดกับหมอวันที่8 สิงหาคม แต่รู้สึกว่าช้าไปหน่อยครับ กลัวอาการจะแย่ลง
<p style=”text-align: left;”>ประวัติ: มีเพศสัมพันธ์กับคนนึงโดยไม่ได้ใส่ถุง หลังจากนั้น 1 วัน มีอาการ เจ็บแสบหรือคันบริเวณปลายอวัยวะเพศ หลังจากนั้น 3วันมีอาการตอนปัสสาวะจะแสบที่ปลายอวัยวะ และมีผื่นแดงเล็กน้อยที่บริเวณผิวองคชาตเหนือปากท่อปัสสาวะ อีก2วันจึงไปพบเภสัชกร ได้ยา clotilrimazole/betamethasone มาทาเช้าเย็นทุกวัน อีกสองวันอาการแสบยังไม่ดีขึ้น แต่ผื่นหายไป และต่อมาพบว่าสีปัสสาวะเข้มผิดปกติ จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ โดยได้ตรวจฉี่ และได้ผลว่าเจอเม็ดเลือดขาว10ตัว แพทย์สันนิษฐานว่าผมติดเชื้อแบคทีเรีย จิงได้รับยา Oflocaxin</p>
<p style=”text-align: left;”>มาทานสำหรับ1 อาทิตย์ ระหว่างนี้ผมก็ทายาภายนอกตัวเดิมมาด้วยตลอด ผลอาทิตย์นี้คือ สีปัสสาวะดูดีขึ้น แสบน้อยลง แต่อวัยวะเพศมีอาการบวมแต่ดูก็ไม่ได้มากอะไร ผ่านครบสัปดาห์จึงไปตรวจฉี่ ผลสรุปว่า ไม่เจอเม็ดเลือดขาวแล้ว และหมอบอกไม่มีเชื้อแล้ว ตอนนั้นเรื่องอาการบวมหมอบอกดูไปก่อนถ้าไม่ดีค่อยกลับมา โดยที่ไม่ได้มียามาทาน แต่ผมยังทายาภายนอกอยู่ (ตั้งแต่มีอาการวันแรกไม่ได้มีเพศสัมพันธ์เพิ่มเติม แต่มีการช่วยตัวเองบ้างไม่แน่ใจกระตุ้นการบวมหรือเปล่า) ผ่านไป1สัปดาห์ รวมตั้งแต่ต้นเป็นสัปดาห์ที่สามเข้าสัปดาห์ที่สี่ ไปพบหมอเพราะอาการบวมแย่ลง จากอาการแสบคันเปลี่ยนเป็นอาการปวดบวม แต่ยังดึงหนังหุ้มให้สุดได้อยู่นะครับ(ผมถ่ายรูปแนบไว้ ส่งได้ทางไหนบ้างครับ) เมื่อหมอดูแล้วบอกว่าไม่แน่ใจเหมือนกัน โดยรวมดูปกติ จึงนัดหมอเฉพาะทางให้อีกสองสัปดาห์ โดยได้ยา Ibuprofen มาทานก่อน ตอนนี้ทานมาสามวัน และไม่จับหรือทำอะไรอวัยวะเพศเลยนอกจากตอนทำความสะอาด เหมือนจะบวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยากทราบข้อสันนิษฐานของคุุณหมอจากเพจครับ หรือมีข้อแนะนำระหว่างนี้ ก่อนพบแพทย์อีกสองสัปดาห์ไหมครับ ขอบพระคุณมากครับ</p>AnonymousGuestเอGuestAnonymousGuestเอGuestAnonymousGuest -
เริ่มต้นตอบกลับ