โรคไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) โดยเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล สามารถจำแนกออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ ชนิดเอ บี และซี ที่พบมากที่สุด คือ ไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ (H1N1) (H3N2) รองลงมาได้แก่ ชนิด บี และซี อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ มีอาการไข้สูง ตัวร้อน หนาว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะที่หลัง ต้นแขน ต้นขา ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คัดจมูก มีน้ำมูกใส ๆ ไอแห้ง ๆ ในเด็กอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วงได้ โรคไข้หวัด ไข้หวัด หรือ ไข้หวัดทั่วไป (Common Cold) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบริเวณ ทางเดินหายใจส่วนบน เช่นจมูก คอ ไซนัส และกล่องเสียง โดยเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้หวัด มีสายพันธุ์ย่อย ๆ มากกว่า 200 ชนิด เลยทีเดียว … ไข้หวัด vs ไข้หวัดใหญ่ อาการต่างกันอย่างไร?

  ไหนใครต้อง Work From Home ในช่วงโควิดระบาดกันบ้าง? GedGoodLife แนะนำให้ยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายบ้างนะ จะได้ไม่เสี่ยง 5 โรค จากการ กินๆ นอนๆ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนนน! 5 โรคร้าย จากพฤติกรรม กินแล้วนอน! 1. กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD / Heartburn) โรคที่ใครหลายคนเผชิญกันอยู่ โดยเฉพาะหนุ่มสาว ชาวออฟฟิศ ยิ่งถ้ามีนิสัยกินเสร็จแล้วนอนเลย รับรองได้ว่า กรดจะไหลย้อนขึ้นมาให้รู้สึกถึง คลื่นไส้ จุกเสียดแน่นท้อง อย่างแน่นอน! – บอกลา กรดไหลย้อน ทำตาม Do & Don นี้เลย! I Ged Good Life – กรดไหลย้อนในผู้สูงอายุ ควรดูแล-รักษา ยังไงดี? – โรคกรดไหลย้อน กับ โรคกระเพาะอาหาร … Work From Home อยู่แต่บ้าน กินๆ นอนๆ เสี่ยง 5 โรคนี้!

  ไอมีเสมหะ คืออะไร ? ไอมีเสมหะ (Wet cough) คือ อาการไอร่วมกับของเหลวเป็นเมือกเหนียวข้นออกมาขณะไอด้วย โดยเมือกเหนียว ๆ ที่ออกมาพร้อมตอนไอ ก็คือ เสมหะ นั่นเอง ทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก กลืนลำบาก ตามหลักแพทย์แผนไทย คนธาตุน้ำมักไอมีเสมหะ (แพทย์แผนไทยเรียก ไอเปียก) และมักจะเกิดขึ้นช่วงอากาศเย็น เสมหะ หรือ เสลด (Phlegm) เป็นสารคัดหลั่งที่ถูกสร้างขึ้นจากต่อมสร้างสารคัดหลั่ง ที่อยู่ในเยื่อบุทางเดินหายใจ เสมหะประกอบด้วยน้ำร้อยละ 95 และอีกร้อยละ 1 ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และสารอินทรีย์ ไอแห้ง คืออะไร และมีอาการอย่างไร? อาการไอแห้ง หรือ ไอไม่มีเสมหะ (Dry Cough) เป็นอาการไอจากอาการคัน และระคายเคืองภายในลำคอ ไม่มีเสมหะ หรือมูกเมือกข้นออกมา มีลักษณะเหมือนคอแห้ง ไม่มีน้ำลาย อาจมีอาการไอรุนแรงขึ้นในเวลากลางคืน เวลาไอจะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างติดที่ลำคอ รู้สึกคัน หรือระคายคอ, คอแห้ง, เสียงอาจแหบ, รู้สึกอยากจะกลืนบ่อย ๆ ตามหลักแพทย์แผนไทย … ไอมีเสมหะ กับ ไอแห้ง ต่างกันอย่างไร?

  ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า “กาแฟ และชา ถ้าดื่มอยู่แล้วก็ไม่ต้องหยุด เพราะปริมาณที่ดื่มเป็นประจำก็ทราบอยู่แล้วว่าไม่ได้ทำให้เกิดมีใจสั่น แต่ถ้าต้องหยุดไปกระทันหันอาจมีอาการปวดหัว และเข้าใจผิดว่าเกิดจากผลข้างเคียงของวัคซีนไปอีก” ข้อควรระวัง “ก่อน ระหว่าง และหลังฉีดวัคซีน” นอกจากเรื่องชา-กาแฟ ที่สามารถดื่มได้ก่อนไปฉีดวัคซีนโควิดแล้ว คุณหมอธีระวัฒน์ ยังกล่าวถึงเรื่องการกินยาต่าง ๆ ก่อนฉีดวัคซีน ไว้ดังนี้ 1. ยาที่มีผลต่อเส้นเลือดทำให้หดตัว ได้แก่ ยาแก้ปวดไมเกรน ชนิด เออก็อท เช่น คาเฟอก็อท cafergot (มีหลายยี่ห้อ) กลุ่มทริปแทน triptan (มีหลายยี่ห้อ) ยาแก้หวัด คัดจมูก กลุ่มที่มีฤทธ์ทางระบบประสาทอัตโนมัติ (sympathomimetic) ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรใช้ในวันที่ฉีดวัคซีน และ 14 วันหลังจากนั้น ซึ่งเป็นระยะเวลาที่อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น 2. เรื่องฮอร์โมน เช่นยาคุม ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ใช้ แต่เนื่องจากฮอร์โมนดังกล่าวมีผลทำให้เลือดข้นอยู่บ้างแล้ว ถ้าจะเกิดผลข้างเคียงจากวัคซีนจะได้ไม่เกิดปัจจัยซ้ำซ้อนขึ้นไปอีก และ “ไม่ได้เป็นข้อห้าม” ถ้าเลี่ยงได้ 14 วันก่อน และ 14 … คอชา-กาแฟ มีเฮ! หมอธีระวัฒน์ เผย “ไม่ต้องหยุดดื่ม ชา-กาแฟ ก่อนฉีดวัคซีนโควิด”

  จากการเปิดเผยของ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีศิริราชพยาบาล ได้กล่าวว่า ปัจจุบันมี วัคซีนต้านเชื้อโควิด-19 ที่ผ่านการทดสอบในระยะ 3 จากทั่วโลกอยู่ราว 20 ยี่ห้อ จาก 20 บริษัทผู้ผลิต โดยสามารถจัดกลุ่มตามเทคโนโลยีการผลิตออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. เทคโนโลยี mRNA จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการตัดต่อสารพันธุกรรม เป็นสิ่งใหม่แต่เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสสูงสุดถึง 95% ซึ่งวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดประจำปี มีประสิทธิภาพประมาณ 50-60% เท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องใช้ประสิทธิภาพถึง 80-90% เพราะ 50-60% ก็เพียงพอ สิ่งสำคัญคือ หากรับวัคซีนต้องทำให้โรคไม่รุนแรง และไม่เสียชีวิต อันนี้คือเป้าหมายใหญ่ ไม่ใช่ไม่ติดเชื้อ 2. วัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกา หลักการวัคซีนตัวนี้ คือ เอาไวรัสตัวหนึ่งที่ไม่ก่อโรคในคน และเอาพันธุกรรมของโควิด-19 ที่สร้างโปรตีน(สไปรท์โปรตีน) จนเกิดการแพร่ระบาดเยอะ ๆ เข้าไปแตะกับไวรัสตัวนี้และเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งภูมิคุ้มกันตัวเราจะพบว่าไวรัสตัวนี้เป็นสิ่งแปลกปลอม และจดจำว่านี่คือเชื้อโรค เมื่อจำได้ภูมิคุ้มกันในตัวเราก็จะกำจัดไวรัสพวกนี้ ดังนั้น ตัวนี้จึงมีประสิทธิภาพสูงถึง 90% โดยทั้งหมดต้องฉีด 2 ครั้ง … วัคซีนต้านเชื้อโควิด-19 มีกี่กลุ่ม และอาจก่อให้เกิดอาการแพ้อะไรได้บ้าง?

  ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ส่งผลให้คนมีความเครียดที่อาจเกิดจากการ Work from home หรือการเรียนออนไลน์ ซึ่งทำให้คนที่ ติดบุหรี่ มีพฤติกรรมการสูบบุรี่จัดมากขึ้นไปอีก แต่รู้หรือไม่ว่า การติดเชื้อโควิด-19 พบในผู้สูบบุหรี่มากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 14 เท่า เลยทีเดียว! “ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ” ได้เปิดเผยสถิติ 5 อันตราย ผู้ที่ติดบุหรี่ ติดโควิด ไว้ดังนี้ 1. รักษาหายยากกว่าคนที่สูบ 87 % 2. ปอดอักเสบรุนแรงมากขึ้น 85 % 3. แพร่กระจายโควิดได้ง่ายและมากขึ้น 52 % 4. เสี่ยงเสียชีวิตด้วยโควิดมากขึ้น 48 % 5. ติดโควิดง่ายขึ้น 35 % ติดบุหรี่ เสี่ยงสารพัดโรครุมเร้า! 1. มะเร็ง 2. ถุงลมโป่งพอง 3. โรคหัวใจ และหลอดเลือด 4. โรคเบาหวาน … 5 อันตราย! ติดบุหรี่ ติดโควิด เสี่ยงตายสูง เลิกสูบดีกว่า!

  น้ำมูก – มีเชื้อโควิด-19 มากที่สุด ประมาณ 97.9% การตรวจหาเชื้อ จึงตรวจจากน้ำมูกเป็นหลัก น้ำลาย – มีเชื้อโควิด-19 ประมาณ 88.6% รองลงมาจากน้ำมูก พยายามเลี่ยงการพูดคุยระยะใกล้ชิด อุจจาระ – มีเชื้อโควิด-19 ประมาณ 70.8% ปิดฝาก่อนกดชักโครกเสมอหลังจากใช้โถส้วมเสร็จ และอย่าลืมล้างมือด้วยสบู่เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที ลำคอ – มีเชื้อโควิด-19 ประมาณ 60% คุณหมอจะเก็บตัวอย่างจากบริเวณลำคอ เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วย เลือด – มีเชื้อโควิด-19 ประมาณ 12.3% บริจาคเลือดต้องคัดกรองอย่างดี ถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยงไม่ควรบริจาคเลือด น้ำตา – มีเชื้อโควิด-19 น้อยที่สุด อยู่ที่ 1.1% * ปัสสาวะ อสุจิ และน้ำหล่อลื่นจากช่องคลอด ไม่พบเชื้อ โควิด-19 อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่ ->  เชื้อโควิด-19 แฝงในกายเรา ตรงไหนบ้าง? พร้อมบอก อาการโควิด-19 อย่างละเอียด #อินโฟกราฟิก … โควิด-19 อยู่ส่วนไหนในร่างกายเรามากที่สุด!? I Ged Good Life

  การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงอายุที่แตกต่างกัน ร่างกายก็ต้องการ การนอนเพื่อสุขภาพ ในปริมาณที่ไม่เท่ากันนะ มูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ (National Sleep Foundation) ในสหรัฐอเมริกา ระบุระยะเวลา การนอนหลับที่เหมาะสม ในแต่ละช่วงวัย ไว้ดังนี้ • เด็กแรกเกิด อายุ 0-3 เดือน ควรนอนวันละ 14-17 ชั่วโมง • เด็กทารก อายุ 4-11เดือน ควรนอนวันละ 12-15 ชั่วโมง • เด็กหัดเดิน อายุ 1-2 ปี ควรนอนวันละ 11-14 ชั่วโมง • เด็กอนุบาล 3-5 ปี ควรนอนวันละ 10-13 ชั่วโมง • เด็กประถม 6-13 ปี ควรนอนวันละ 9-11 ชั่วโมง • เด็กมัธยม 14-17 ปี ควรนอน 8-10 ชั่วโมง • เด็กมหาลัย 8-25 ปี ควรนอน 7-9 ชั่วโมง • ผู้ใหญ่ 26-64 ปี ควรนอน 7-9 ชั่วโมง • ผู้สูงวัย 65 ปีขึ้นไป ควรนอน 7-8 … เช็กเลย! ในแต่ละช่วงวัย ควรนอนวันละกี่ชั่วโมง l GedGoodLife ชีวิตดีดี