gedgoodlife

“ฝันร้าย” เพราะอะไร!?

  “ไม่เป็นไรนะ มันก็แค่ฝันร้าย ไม่ใช่เรื่องจริง” เชื่อว่าใครหลาย ๆ คน คงเคย “ฝันร้าย” กันมาบ้างแล้ว โดยส่วนมาก อาการฝันร้ายจะเป็นเรื่องของ การฝันเห็นผี เรื่องน่ากลัว ชวนขนลุก หวาดหวั่น ตกใจจนต้องตื่นจากฝัน หรือแม้กระทั่งฝันเห็นคนที่เรารักไปแอบมีใครอื่น เป็นต้น ถ้าหากไม่อยากฝันร้าย ก็ต้องรู้สาเหตุให้ได้เสียก่อน… วันนี้ GedGoodLife ได้หาคำตอบมาให้แล้ว ไปติดตามกันได้เลย ฝันร้าย เพราะอะไร? ฝันร้าย (nightmare) เป็นความฝันที่ทำให้เกิดอารมณ์เชิงลบที่มีความเหมือนจริงมาก และทำให้คุณต้องสะดุ้งตื่นจากการนอนหลับ เกิดขึ้นได้บ่อยที่สุดในช่วงการหลับแบบ REM หรือหลับตื้น ซึ่งมักอยู่ในช่วงเช้ามืด สาเหตุของฝันร้ายจะต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล โดยมากมักเกิดจากความเครียดในจิตใจของเราเอง โดยเฉพาะเมื่อเราเก็บความรู้สึกที่ไม่ดี สิ่งที่กังวล หรือเรื่องที่หวาดกลัว ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเราเอาไว้ในใจ โดยที่ไม่ได้ระบายออกมา สิ่งเหล่านี้จะกลับมาหาเราอีกครั้ง ในรูปแบบของฝันร้าย ฝันร้ายในวัยเด็ก – เด็ก ๆ มักจะฝันร้าย เพราะกลัวเรื่องเล่าสยองขวัญจากผู้ใหญ่ และเพื่อน ๆ ในกลุ่ม หรือจากการดูหนังสยองขวัญผ่านทางทีวี จนฝังใจเก็บเอาไปฝันว่าตัวเองกำลังโดนผีหลอกบ้าง “ฝันร้าย” เพราะอะไร!?

มหัศจรรย์ “พลังแห่งการกอด” เพียงเรากอดกันก็ส่งผลต่อสุขภาพได้นะ

  ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และสังคมที่มีแต่ความเร่งรีบ สมาชิกในครอบครัวมีเวลาให้กันน้อยลง เป็นสาเหตุของการนําไปสู่ปัญหาครอบครัว ได้แก่ ปัญหาด้านสัมพันธภาพระหว่างสามี ภรรยา ความไม่เข้าใจกันระหว่าง พ่อแม่ลูก ฉะนั้นวัคซีนที่จะเป็นภูมิคุ้มกันป้องกันปัญหาครอบครัว และส่งเสริมให้มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันนั้นได้นั้น สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการมอบความรักจาก “พลังแห่งการกอด” ให้แก่กันและกัน “กอด”เป็นสัมผัสพิเศษ เพียงอ้อมกอดเล็ก ๆ สามารถส่งผลต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตได้รวมถึงเป็นการถ่ายทอดความอบอุ่นทางจิตใจ ทําให้เพิ่มสายสัมพันธ์ และความผูกพัน ทั้งผู้กอด และผู้ถูกกอด การกอดจึงเป็นการแสดงความรักความห่วงใย ความผูกพัน และการให้กําลังใจ เป็นสื่อภาษาทางกายที่ดีที่สุด มีรายงานการวิจัยที่ระบุว่า บุคคลที่ได้รับการกอด หรือได้กอดผู้อื่น จะส่งผลให้บุคคลนั้นเกิดความรู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา นอกจากนี้การกอดในเด็กจะช่วยให้เกิดการพัฒนา ความฉลาดทางสติปัญญา เพราะการกอดจะช่วยกระตุ้น และเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ให้กับเด็ก “พลังแห่งการกอด” กับเทคนิคการกอดที่เหมาะสม การกอดเด็ก – หากมีการกอดแน่นเกินไป เนื่องจากการเอ็นดูหมั่นเขี้ยวเด็กจะไม่ชอบเพราะเจ็บ การกอดเด็กวัยรุ่น – อาจต้องระมัดระวังมากขึ้น ในการสัมผัสพื้นที่บางแห่ง เช่น กอดลูกสาว ควรกอดแนบแน่นตรงระดับหัวไหล่ จากนั้นปล่อยหลวม ๆ มหัศจรรย์ “พลังแห่งการกอด” เพียงเรากอดกันก็ส่งผลต่อสุขภาพได้นะ

แค่เครียด หรือเป็น… “ไบโพลาร์” 8 สัญญาณเตือน โรคอารมณ์ 2 ขั้ว

  ไบโพลาร์ หรือ โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว เป็นอีกหนึ่งโรคทางจิตใจที่คงจะคุ้นหูใครหลาย คนในช่วงนี้ เพราะเป็นที่พูดถึงกันมากเหลือเกิน และโรคนี้ก็ทำให้ผู้ป่วยต้องประสบกับปัญหาในการใช้ชีวิต ไม่น้อยไปกว่าโรคซึมเศร้า เลยทีเดียว ผู้ที่ป่วยเป็นไบโพลาร์ จะอารมณ์ดีมากจนผิดปกติ สลับกับมีภาวะซึมเศร้าอย่างหนัก มาดูกันดีกว่าว่า มีสัญญาณเตือนอะไรบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคไบโพลาร์ได้ อาการของโรค ไบโพลาร์ โรคไบโพลาร์ – Bipolar Disorder หรือโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว เป็นความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาระหว่าง อารมณ์ดีมากกว่าปกติ สลับกับอารมณ์ซึมเศร้า เป็นโรคที่มีการอาการของโรคเรื้อรัง และมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้สูงถึง 70-90% อาการสังเกตที่เด่นชัดของไบโพลาร์ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ช่วงที่มีภาวะซึมเศร้า กับช่วงมาเนีย หรือช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ โดยอาการแต่ละช่วง อาจมีอยู่นานเป็นสัปดาห์ หรือหลายเดือน ผู้ป่วยจะมีอาการของทั้ง 2 กลุ่ม อย่างน้อยกลุ่มละ 4-5 อาการขึ้นไป และเป็นติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์ • ช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ (mania หรือ hyper-mania) 1. แค่เครียด หรือเป็น… “ไบโพลาร์” 8 สัญญาณเตือน โรคอารมณ์ 2 ขั้ว

สวย หรือ พัง! รองเท้าส้นสูง กำลังทำร้ายสุขภาพของสาว ๆ อยู่รึเปล่า?

  หนึ่งในอุปกรณ์เสริมความสวยของสาว ๆ หลายคนก็คือ รองเท้าส้นสูง (High-Heeled Shoe) ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความสูง และเสริมสร้างบุคลิกที่ดีแล้ว ยังทำให้ขาดูเพรียวยาวขึ้น และเท้าดูเล็กลงอีกด้วย ทำให้สาว ๆ รู้สึกมั่นใจขึ้นเมื่อใส่รองเท้าส้นสูง แต่ส้นสูงคู่สวยของคุณ ถ้าสูงมากเกินไป ก็ทำให้เกิดโทษที่ไม่ใช่แค่เสี่ยงต่อการสะดุดล้มเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุของสารพัดปัญหาสุขภาพแบบเรื้อรังได้อีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่า รองเท้าส้นสูง ที่ทำให้รู้สึกสวยมั่นนั้น กำลังทำร้ายสุขภาพของคุณอยู่รึเปล่า? ยิ่งสูงยิ่งอันตราย! ความสูงของรองเท้าส้นสูง นอกจากจะทำให้ลื่นล้มได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นด้วย ยิ่งส้นของรองเท้าสูงเท่าไร ก็จะยิ่งกดให้น้ำหนักตัวไปรวมอยู่ที่บริเวณปลายเท้า และฝ่าเท้าด้านบน ซึ่งทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ – โดยรองเท้าส้นสูงที่สูง 1 นิ้ว จะทำให้ปลายเท้าต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น 22% – เมื่อสูง 2 นิ้ว ก็จะรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น 57% – และถ้าส้นสูง 3 นิ้ว ที่สาวๆ หลายคนตกหลุมรักกันนั้น ก็ทำให้ปลายเท้าต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 76% เลยทีเดียวค่ะ อันตรายที่เกิดจากการใส่ รองเท้าส้นสูง อาการเจ็บป่วยและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ จากการใส่รองเท้าส้นสูงคือ • สวย หรือ พัง! รองเท้าส้นสูง กำลังทำร้ายสุขภาพของสาว ๆ อยู่รึเปล่า?

ภัยร้ายอาหารริมทาง “ฝากท้อง” หรือ “ฝากโรค”

  อาหารริมทาง / อาหารข้างถนน หรือจะเรียกกันแบบเก๋ ๆ ว่า “สตรีทฟู้ด” นั้น เป็นที่รู้กันดีว่า ทั้งถูก ทั้งอร่อย แถมยังมีให้เลือกหลากหลาย จนกลายมาเป็นเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวต่างชื่นชอบ ส่วนคนทำงานทั่วไปก็แทบจะฝากท้อง ฝากชีวิตเอาไว้กับร้านเหล่านี้เลยทีเดียว แต่ถึงอาหารริมทางจะถูกและอร่อยยังไง ความปลอดภัยด้านสุขภาพก็ควรมาก่อนอยู่ดี ไม่เช่นนั้นอาจจะกลายเป็นภัยอาหารริมทาง ต่อสุขภาพของเราได้ มาดูกันดีกว่าว่า สิ่งที่เราควรสังเกตให้ดี ก่อนที่จะเลือกฝากท้องไว้กับร้านริมทางเหล่านี้ มีอะไรบ้าง ? – ตำแหน่งที่ตั้งของร้าน ขึ้นชื่อว่าร้านริมทาง ทำเลส่วนใหญ่ก็ย่อมตั้งกันอยู่ริมถนน หรือริมทางเท้ากันนั่นเอง แถมหลายร้านยังตั้งอยู่บนฟุตบาทกันเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อที่ลูกค้าจะได้เข้าไปนั่งทานอาหารกันได้ง่าย ๆ สะดวก ๆ นั่นเอง แต่ด้วยความที่ร้านตั้งอยู่ใกล้กับถนนนี้  ก็จะทำให้อาหารในร้าน เสี่ยงต่อการปนเปื้อนของฝุ่น หรือ ควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ได้มาก หรือแม้กระทั่ง สัตว์เล็กสัตว์น้อย เช่น แมลงสาบ หนู เป็นต้น โดยเฉพาะร้านที่เปิดโล่ง ไม่มีการป้องกันฝุ่นควันที่จะลงไปอยู่ในอาหาร ถ้าเลือกได้ จึงควรเลือกร้านที่มีภาชนะปกปิดอาหาร เพื่อป้องกันฝุ่นละออง และลดการปนป้อนของสารพิษจะดีกว่า – ความสะอาด ภัยร้ายอาหารริมทาง “ฝากท้อง” หรือ “ฝากโรค”

“โรคถุงลมโป่งพอง” ภัยร้ายของสิงห์นักสูบ •สาเหตุ •อาการ •วิธีรักษา

  บนซองบุหรี่ทุกซอง จะมีรูปภาพโรคร้ายต่าง ๆ อันแสนน่ากลัวที่เกิดจากการสูบบุหรี่ และหนึ่งในนั้นก็คือ โรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งสาเหตุของโรคนี้ ร้อยละ 80 เกิดจากการสูบบุหรี่ ส่วนอีก 20% จะเกิดจากอะไรนั้น ไปติดตามกันได้เลย โรคถุงลมโป่งพอง คืออะไร? โรคถุงลมโป่งพอง (Pulmonary Emphysema) เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มของ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease (COPD)) เกิดจากการอักเสบของเนื้อปอดบริเวณถุงลมปอด ทำให้เนื้อปอดมีถุงลมเล็ก ๆ จำนวนมาก ที่อยู่ติดกันจนกลายเป็นถุงลมขนาดใหญ่ ดูคล้ายกับพวงองุ่น ซึ่งส่งผลให้มีพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในปอดลดลง หรือมีอากาศค้างในปอดมากกว่าปกติ หากอาการมีความรุนแรงมากขึ้น ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจตื้น หรือเหนื่อยง่าย สาเหตุของ โรคถุงลมโป่งพอง สาเหตุหลักของโรคถุงลมโป่งพอง คือ การสูบบุหรี่ โดยผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีโอกาสเป็นโรคถุงลมโป่งพอง มากกว่าคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ถึง 6 เท่า นอกจากการสูบบุหรี่แล้ว สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง จะมาจาก.. 1. การสัมผัส หรือสูดสารที่เป็นพิษ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของฝุ่นควันที่มีอานุภาพเล็ก “โรคถุงลมโป่งพอง” ภัยร้ายของสิงห์นักสูบ •สาเหตุ •อาการ •วิธีรักษา

ตดแล้ว! ตดอีก! ตดบ่อย ๆ จะเป็นอะไรไหมนะ?

  เคยมั้ยที่ต้องรู้สึกอายเพื่อน ๆ หรือคนข้างๆ เพราะเราเผลอตดออกไป แต่รู้ไหมว่า ร่างกายของเรานั้น ตดเพราะอะไร ? Ged Good Life มีคำตอบมาฝากแล้ว ติดตามอ่านต่อด้านล่างได้เลย ตดเพราะอะไร ? ทำไมถึงตด ? โดยปกติแล้ว การตด หรือ ผายลม ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เพราะมันเป็นกลไกตามธรรมชาติ ที่ร่างกายต้องขับลมออกมา ตด คือ แก๊สที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการย่อยอาหาร และสะสมอยู่ในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้ ขณะที่เรากินอาหาร เราก็ไม่ได้กลืนแค่อาหารลงไปเท่านั้น แต่ยังกลืนอากาศเข้าไปด้วย ทำให้ระบบย่อยอาหารของเรามีแก๊สสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก และร่างกายก็ต้องการขับแก๊สเหล่านี้ออกมา ร่างกายจะขับแก๊สส่วนเกินเหล่านี้ ออกจากร่างกายผ่าน 2 ช่องทาง คือ ขับออกทางปาก หรือเรอ และขับออกทางทวารหนัก หรือ ตด หากแก๊สส่วนเกินเหล่านี้ไม่ถูกขับออกจากร่างกาย จะทำให้เกิดการสะสมในทางเดินอาหาร ทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง ปวดมวนในท้อง และเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ตามมาได้ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดแก๊สสะสมมาก จนทำให้ตดหรือผายลมออกมาก็คือ ตดแล้ว! ตดอีก! ตดบ่อย ๆ จะเป็นอะไรไหมนะ?

มลพิษ – วิกฤตจากน้ำมือมนุษย์ ที่คนไทยต้องรู้!

  มลพิษ คือ เรื่องที่คนไทยต้องเผชิญหนักขึ้น มากขึ้น ในยุคนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แค่มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าที่แสนจะขมุกขมัว ก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า นั่นมัวหมอกฝน หรือว่ามัวฝุ่นกันแน่ เห็นแล้วก็ให้เป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเราเสียเหลือเกิน แต่ว่าไม่ใช่แค่ฝุ่นในอากาศ หรือสารเคมีที่เป็นข่าวหรอกนะที่น่าเป็นห่วง เพราะมลพิษที่อยู่ใกล้ตัวเรายังมีอยู่อีกเยอะ มาดูกันสิว่า วันหนึ่ง ๆ เราต้องเผชิญกับมลพิษอะไรบ้าง… มลพิษ ทางอากาศ – Air Pollution มลพิษทางอากาศ หมายถึงฝุ่นละออง วัตถุอันตราย สารพิษ หรืออะไรก็ตามที่อยู่ในอากาศ ที่ทำให้เกิดโรค เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในมนุษย์ และทำลายสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น พืช หรือสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เป็นมลพิษที่หลีกเลี่ยงได้ยากที่สุด เพราะว่าเราสามารถหายใจเอามลพิษเหล่านี้เข้าร่างกายได้อย่างง่ายดาย โดยมลพิษในอาการนั้น มีที่มาจากหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น… 1. จากธรรมชาติ เป็นมลพิษที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ และส่งผลกระทบที่ไม่ร้ายแรงนัก เช่น ภูเขาไฟระเบิด หรือไฟป่า ที่ก่อให้เกิดควันและเถ้าถ่านเป็นจำนวนมาก หรือฝุ่นละอองที่พบได้ในทุกที่ 2. จากฝีมือมนุษย์ มนุษย์เป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศมากที่สุด มลพิษ – วิกฤตจากน้ำมือมนุษย์ ที่คนไทยต้องรู้!

วิธีป้องกัน “ไวรัส RSV” มัจจุราชคร่าลูกน้อย!

  หนึ่งสิ่งที่สร้างความหวาดหวั่น ให้กับคุณพ่อคุณแม่หลายคนในช่วงนี้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “RSV” ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่เป็นอันตรายต่อเด็กน้อย เป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะพบได้ตลอดทั้งปีแล้ว ยังแพร่กระจายได้ง่าย และมีความรุนแรงมากอีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่า คุณพ่อคุณแม่จะสามารถช่วยป้องกันลูก ๆ จาก ไวรัส RSV ได้ยังไงบ้าง ไวรัส RSV คืออะไร? ไวรัส RSV – Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ แสดงอาการรุนแรงในทารก หรือเด็กเล็ก มากกว่าในผู้ใหญ่ โดยเชื้อนี้สามารถทำให้เกิดอาการปอดอักเสบได้ และหากมีการติดเชื้อในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก เช่น ทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือในผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรง ก็อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ การติดเชื้อไวรัส RSV นั้นมักจะมีอาการบ่งชี้ หลังสัมผัสกับเชื้อแล้ว 4-6 วัน โดยอาการแสดงทั่วไป จะคล้ายอาการหวัด ซึ่งสามารถแยกผู้ที่ติดเชื้อไวรัส RSV ได้จากอาการต่อไปนี้ • หอบเหนื่อย • หายใจแรง หายใจตื้น ๆ สั่น วิธีป้องกัน “ไวรัส RSV” มัจจุราชคร่าลูกน้อย!

รู้หรือไม่!?… เจ VS มังสวิรัติ แตกต่างกันอย่างไร?

  เทศกาลกินเจ เป็นช่วงเวลาที่คนจำนวนมากพร้อมใจกันงดกินเนื้อสัตว์ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ แต่ว่า นอกจากการกินเจแล้ว การ กินมังสวิรัติ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับผู้ที่ต้องการงดเว้นเนื้อสัตว์ได้เช่นกัน ว่าแต่เจกับมังสวิรัติต่างกันยังไงนะ?? เราสามารถกินมังสวิรัติแทนเจได้รึเปล่า? วันนี้Ged Good Life มีคำตอบ พร้อมกับการเปรียบเทียบ เจ vs มังสวิรัติ มาให้แล้ว กินเจ คืออะไร? คำว่า กินเจ มีความหมายที่แท้จริงคือ การกินอาหารก่อนเที่ยงวัน ซึ่งเป็นการรักษาศีลอย่างหนึ่ง คล้ายกันกับการรักษาศีล 8 ที่จะไม่กินอาหารหลังพ้นเที่ยงวันไปแล้ว และเนื่องจาก การกินเจเป็นการรักษาศีล ที่รวมถึงการละเว้นชีวิตสัตว์ต่าง ๆ เอาไว้ด้วย จึงรวมการไม่กินเนื้อสัตว์ ไปกับคำว่า กินเจ โดยอัตโนมัติ และเรียกผู้ที่ยังคงกินอาหารครบทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ว่า กินเจ เช่นกัน นอกจากการไม่กินเนื้อสัตว์แล้ว ผู้ที่กินเจ ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม รักษาความบริสุทธิ์สะอาดกาย วาจา ใจ ไปด้วยพร้อมกัน จึงจะเรียกว่าเป็นการ กินเจที่แท้จริง รู้หรือไม่!?… เจ VS มังสวิรัติ แตกต่างกันอย่างไร?

“เฮลท์ตี้ 24 ชั่วโมง” ไปกับ “นาฬิกาชีวิต” แค่รู้เคล็ดลับใช้ชีวิต สุขภาพก็ดีตาม

  นาฬิกาชีวิต คือ ระบบการทํางานในร่างกายของเรา มีวงจรการเข้างานของอวัยวะต่าง ๆ อย่างเป็นระบบระเบียบ… แต่การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน กลับส่งผลต่อระบบการทํางานของอวัยวะต่าง ๆ อย่างใหญ่หลวง จึงก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมาอย่างคาดไม่ถึงนั่นเอง วันนี้ Ged Good Life จึงขอแนะนำการใช้ชีวิตให้ถูกต้องตามหลัก “นาฬิกาชีวิต” กัน 05.00 – 07.00 เวลาของลําไส้ใหญ่…  ตื่นมาขับถ่ายกันดีกว่า! “ตื่นนอน และดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อกระตุ้นระบบขับถ่าย” เพราะเป็นช่วงเวลาที่ลําไส้ใหญ่ทํางานได้ดีที่สุด พร้อมขับถ่ายของเสีย กากอาหารที่ส่งมาจากลําไส้เล็กออกจากร่างกาย ถ้าเราไม่ถ่าย ร่างกายจะดูดซึม ของเสียเข้าสู่ร่างกายอีกรอบ ส่งผลกระทบมากมาย เช่น เป็นหวัด ไอ สิว ผิวหนังไม่กระจ่างใส มีจุด ด่างดํา ร้อนใน ท้องผูก แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ริดสีดวงทวาร มะเร็งลําไส้ 07.00 – 09.00 เวลาของกระเพาะอาหาร… มาทานอาหารเช้ากัน “เฮลท์ตี้ 24 ชั่วโมง” ไปกับ “นาฬิกาชีวิต” แค่รู้เคล็ดลับใช้ชีวิต สุขภาพก็ดีตาม

พูดเยอะ เจ็บคอ! “คออักเสบ” ภาวะติดเชื้อ ที่ควรดูแลให้ดี

  ทำงานใช้เสียงมาทั้งวัน แล้วไหนจะต้องเม้าท์เรื่องละครหลังข่าวกับเพื่อน ๆ อีก เลยมีอาการยอดฮิตติดกระแสอยู่ทุกวันนี้ก็คือ “พูดเยอะ เจ็บคอ” นั่นเอง! แต่ถ้าเจ็บคอเบาๆก็คงไม่เป็นไร ถ้าเจ็บมากจน “คออักเสบ” มีอาการติดเชื้อแล้วละก็… คงต้องอดเม้าท์แน่ ๆ เลย งั้นมาดูความสาหัสของอาการนี้กันว่า เมื่อเป็นแล้วเนี่ย จะต้องทำยังไงถึงจะกลับมาหายดี สาเหตุของ คออักเสบ คออักเสบ (Pharyngitis) ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสประมาณ 70-80% ตามมาด้วยการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ประมาณ 15-20% และมีอีกประมาณ 5% ที่เกิดจากการติดเชื้อรา ซึ่งมักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยเอดส์ เป็นต้น เชื้อที่ทำให้เกิดอาการคออักเสบ จะอยู่ในน้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย ทำให้สามารถติดต่อได้โดยการหายใจ สูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอ หรือจามออกมา หรือสัมผัสมือผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ หรือสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อเหมือนกับเวลา เป็นหวัด ปวดหัว อาการของคออักเสบ บริเวณที่เป็นคออักเสบ จะอยู่ระหว่างหลังโพรงจมูกกับกล่องเสียง โดยเชื้อที่ทำให้เกิดอาการอักเสบนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 1. คออักเสบจากเชื้อไวรัส: พูดเยอะ เจ็บคอ! “คออักเสบ” ภาวะติดเชื้อ ที่ควรดูแลให้ดี

“โรคคลั่งผอม” อาการป่วยที่ไม่ไกลตัวสาวยุคใหม่

  ในยุคสมัยที่มีโซเชี่ยลเป็นแรงผลักดันให้ผู้หญิงได้อวดรูปร่าง หน้าตา มากขึ้น ผู้หญิงหลาย ๆ คน จึงเลือกที่จะเข้าสู่โหมดไดเอทลดหุ่นให้ผอมเพรียว แขนขาเล็กเรียว เพื่อจะได้แช๊ะภาพมาอวดทางโลกโซเชี่ยลกับเพื่อน ๆ แต่ในบางรายเมื่อ “ยิ่งผอม ยิ่งกลัวอ้วน” จนทำให้กลายเป็น “โรคคลั่งผอม” เลยทีเดียว!! แล้วโรคนี้จะมีลักษณะอาการอย่างไร มาติดตามกันได้เลย โรคคลั่งผอม คืออะไร? โรคคลั่งผอม หรือโรคอะนอเร็กเซีย (Anorexia nervosa) เป็นความผิดปกติทางจิตใจชนิดหนึ่ง ที่ผู้ป่วยจะจดจ่อหมกมุ่นกับรูปร่างของตนเอง ต้องการให้ตนผอมลงเรื่อย ๆ กลัวอย่างรุนแรงว่าตนเองจะอ้วน แม้ว่าจะผอมอยู่แล้ว หรือยิ่งผอมยิ่งกลัวอ้วนนั่นเอง ผู้ป่วยที่จัดว่าเป็นโรคคลั่งผอม คือผู้ที่น้ำหนักตัวลดลงลงอย่างน้อย 15% จากน้ำหนักตัวปกติ ทำให้ผู้ป่วยจำกัดปริมาณอาหารที่ตนเองกิน หรือออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อให้น้ำหนักตัวลดลง คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคคลั่งผอม จะไม่มีความอยากอาหารโดยอัตโนมัติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ป่วยโรคคลั่งผอมจำนวนมาก ยังมีความอยากอาหารอยู่ แต่เมื่ออาการรุนแรงมากขึ้น ร่างกายของผู้ป่วย จะเกิดอาการปฏิเสธที่จะรับอาหารเข้าสู่ร่างกาย ทำให้แม้ว่าจะพยายามกินอาหารเข้าไป ก็จะอาเจียนอาหารเหล่านั้นออกมา โดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ใครเป็นโรคคลั่งผอมได้บ้าง? โรคคลั่งผอมจะพบได้มากในผู้หญิง มักเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น แต่ก็พบได้ในช่วงอายุอื่นเช่นกัน “โรคคลั่งผอม” อาการป่วยที่ไม่ไกลตัวสาวยุคใหม่

“โรคกระดูกพรุน” ภัยเงียบที่ถูกมองข้าม!

  โรคกระดูกพรุน เป็นโรคที่ไม่ค่อยมีใครสนใจนัก เพราะหลายคนมักจะคิดว่าเป็นโรคสำหรับคนสูงวัยเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่า กระบวนการสร้างกระดูกจะเริ่มลดลง ตั้งแต่อายุเลย 30 ปี เป็นต้นไป ฉะนั้นลองมาศึกษากันดีกว่าว่า เราควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้โรคนี้คุกคามเราก่อนวัยอันควร โรคกระดูกพรุน คืออะไร? โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ ภาวะที่เนื้อกระดูกผุกร่อน ไปจากปกติ เนื้อกระดูกอาจลดลงจนถึงขั้นอันตราย จากโครงกระดูกที่เคยแข็งแกร่งอาจเปลี่ยนเป็น โครงกระดูกที่ผุกร่อน พร้อมจะเกิดการแตกหักได้ทุกเมื่อ แม้เพียงแค่การยกของหนัก หรือการถูกกระทบกระแทก เล็กน้อยเท่านั้น โรคนี้มักพบมากในผู้สูงอายุโดยประมาณ 60 ปีขึ้นไป โดยจะพบปัญหาในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะสตรีวัยหมดประจำเดือน และเมื่ออายุสูงขึ้น โอกาสกระดูกหักก็จะเพิ่มไปด้วย โดยจะเป็นการทรุดหักของกระดูกสันหลัง, กระดูกสะโพก, และสุดท้าย คือ กระดูกต้นขาหัก สาเหตุของโรคกระดูกพรุน โดยปกติเนื้อเยื่อจะมีการเสื่อมสลาย และจะมีการสร้างเสริมได้ตลอดเวลา ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงวัยรุ่น ในช่วงวัยนี้กระดูกจะแข็งแรง เนื่องจากการมีเนื้อกระดูกเพิ่มมากกว่าการสูญเสีย แต่หลังจากนี้คือเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป กระบวนการเสริมสร้างกระดูกจะเริ่มลดลงทั้งเพศชาย และเพศหญิง ซึ่งโดยปกติเพศหญิงจะมีมวลกระดูกน้อยกว่าเพศชาย และเมื่อถึงวัยหมดประจําเดือน เพศหญิง จะยิ่งมีอัตราการสูญเสีย มากกว่าการสร้างกระดูก “โรคกระดูกพรุน” ภัยเงียบที่ถูกมองข้าม!

หายใจติดขัด… มีกลิ่นคาวที่จมูก… น้ำมูกเยอะ หรือเราจะเป็น “ริดสีดวงจมูก” !!

  ริดสีดวงจมูก แค่ได้ยินก็หยึยแล้ว! แต่รู้มั้ยว่า เจ้าริดสีดวงจมูก หรือเนื้องอกในจมูกนี้ เป็นผลต่อเนื่องมาจาก ไซนัสอักเสบที่เราคุ้นหูกันดีนี่เอง! แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะ มีวิธีไหน ที่จะป้องกันไม่ให้เป็นริดสีดวงจมูกได้บ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณแล้ว   ริดสีดวงจมูก คืออะไร? ริดสีดวงจมูก (Nasal Polyp) เป็นติ่งเนื้อ หรือก้อนเนื้อเมือกในโพรงจมูก ที่มักไม่มีอันตรายร้ายแรง เว้นแต่ว่า ถ้าก้อนติ่งเนื้อโตมากจะทำให้หายใจไม่สะดวก และสูญเสียการรับรู้กลิ่นไปได้ เป็นโรคทางจมูกและไซนัส เมื่อเป็นขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว ก็มักจะเป็นซ้ำได้อีก ส่วนใหญ่พบมากในผู้ใหญ่อายุ 20 – 40 ปี (ในเด็กจะพบน้อยมาก) และในผู้ที่เป็นโรคหืด เป็นหวัด ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง ริดสีดวงจมูกเกิดจากอะไร? โดยทั่วไปแล้ว ริดสีดวงจมูกมักเกิดจากสาเหตุหลายอย่างรวมกัน เช่น การอักเสบ และการติดเชื้อของเยื่อบุจมูก และเยื่อบุไซนัส ที่เกิดซ้ำ ๆ และบ่อย ๆ จนส่งผลให้เยื่อบุจมูกบวม การตีบแคบของทางเดินอากาศในโพรงจมูก และไซนัส ทำให้การไหลเวียนอากาศผิดปกติ และเกิดการบวมอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุจมูก และไซนัส ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ที่ควบคุมหลอดเลือดของเยื่อบุจมูก หายใจติดขัด… มีกลิ่นคาวที่จมูก… น้ำมูกเยอะ หรือเราจะเป็น “ริดสีดวงจมูก” !!

จุกเสียดท้อง ตอนวิ่ง มีใครเป็นบ้าง… ควรทำยังไงดี?

  การวิ่ง เป็นการออกกำลังกายรูปแบบหนึ่ง ที่ในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการออกกำลังกาย ที่ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ แต่ว่าระหว่างที่วิ่งนั้น หลายคนอาจมีอาการ จุกเสียดท้อง เมื่อวิ่งไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว แล้วอาการนี้ เกิดจากอะไร จะสามารถป้องกันได้หรือไม่ มาดูคำตอบกันเลยดีกว่า สาเหตุของอาการ จุกเสียดท้อง ขณะวิ่ง วิ่งแล้วจุกท้อง จุกเสียดท้อง หรือปวดบริเวณท้องน้อย หลังจากที่วิ่งออกกำลังกายไปได้ในช่วงระยะหนึ่งนั้น เป็นอาการของการเกิดตะคริว อาการเช่นนี้สามารถพบในผู้ที่ออกกำลังแบบอื่นได้เช่นกัน เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน โดยอาการตะคริวที่พบบริเวณท้องน้อยนั้น ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ แต่มีการตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่าเป็นเพราะ ขณะที่ร่างกายของเรากำลังวิ่งอยู่ เท้าจะถูกย้ำลงไปที่พื้น ในช่วงจังหวะเดียวกันกับที่กำลังหายใจออก ทำให้ร่างกายหายใจเร็ว และถี่ขึ้น ทำให้กระบังลมต้องทำงานอย่างหนัก จนกระทั่งทำให้เกิดอาการเกร็ง ตึง จนกลายเป็นตะคริวได้ในที่สุด นอกจากนี้ การวิ่งย่ำเท้าขึ้นลงสลับไปมาอย่างแรงนั้น จะส่งผลทำให้เยื่อบุบาง ๆ ที่บริเวณช่องท้อง 2 ชั้น ซึ่งมีหน้าที่ในการห่อหุ้มผิวนอกของอวัยวะ ที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร คือ กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กเกิดอาการระคายเคือง โดยเฉพาะเมื่อกินอาหารมื้อหนักเข้าไป จะทำให้บริเวณหน้าท้องเกิดการขยายตัวเมื่อไปวิ่ง อวัยวะภายในร่างกายจะเกิดการเสียดสีกับเนื้อเยื่อ จึงทำให้รู้สึกเจ็บ หรือมีอาการจุกเสียดท้องได้ จุกเสียดท้อง ตอนวิ่ง มีใครเป็นบ้าง… ควรทำยังไงดี?

askexpert

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้ประเภทนี้จะช่วยจดจำข้อมูลคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ท่านใช้เข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลการลงทะเบียนหรือ log in ข้อมูลการตั้งค่าหรือตัวเลือกที่ท่านเคยเลือกไว้บนเว็บไซต์ เช่น ภาษาที่แสดงบนเว็บไซต์ ที่อยู่สำหรับจัดส่งสินค้า เพื่อให้ท่านสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องให้ข้อมูลหรือตั้งค่าใหม่ทุกครั้งที่ท่านเข้าใช้เว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจใช้งานเว็บไซต์ได้ไม่สะดวกและไม่เต็มประสิทธิภาพ
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์เเละด้านฟังก์ชั่น

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อให้เราสามารถวัดผล ประเมิน ปรับปรุง และพัฒนาเนื้อหาสินค้า/บริการและเว็บไซต์ของเราเพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของท่าน ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ประเมิน และพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

  • คุกกี้โฆษณา

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและสร้างโปรไฟล์เกี่ยวกับตัวท่าน เพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์และนำเสนอเนื้อหา สินค้า/บริการ และ/หรือ โฆษณาที่เหมาะสมกับความสนใจของท่านได้ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจได้รับข้อมูลและโฆษณาทั่วไปที่ไม่ตรงกับความสนใจของท่าน
    Cookies Details

Save