ไอแบบมีเสมหะ ต่างจากไอแบบอื่น ๆ อย่างไร

15 ต.ค. 24

ไอแบบมีเสมหะต่างจากไอแบบอื่นๆ อย่างไร ทำไมต้องเลือกยากแก้ไอให้ถูกประเภท

อาการไอเป็นสัญญาณของร่างกายที่อยู่คู่มนุษย์มาทุกยุคสมัย เป็นกลไกธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่น ควัน หรือเชื้อโรค เข้าสู่ทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการระคายเคือง ร่างกายจึงพยายามกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกด้วยการไอ หลายคนมักเข้าใจว่าเมื่อมีอาการไอ การซื้อยาแก้ไอทั่วไปจะช่วยบรรเทาได้ แต่ความจริงแล้ว อาการไอมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบตอบโจทย์การรักษาที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอาการไอแบบมีเสมหะ ที่จำเป็นต้องพิถีพิถันเลือกใช้ยาที่เหมาะสม มาร่วมค้นหาว่าอาการไอแบบมีเสมหะต่างจากแบบอื่นอย่างไร และทำไมการเลือกใช้ยาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ไอแบบมีเสมหะคืออะไร?
ไอแบบมีเสมหะเกิดจากการที่ร่างกายพยายามขับเสมหะหรือเมือกที่สะสมอยู่ในทางเดินหายใจออกมา อาการนี้มักเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไซนัสอักเสบ ภูมิแพ้ หรือโรคหืด หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หากอาการไอเกิดในช่วงกลางคืนมักมีเสมหะไหลลงคอขณะนอนหลับ ท่าราบทำให้เสมหะไหลเข้าสู่ลำคอและกระตุ้นให้เกิดอาการไอมากขึ้น

 

นอกจากนี้ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ปอดอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมของสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งร่างกายจะพยายามขับออกมา ทำให้เกิดอาการไอแบบมีเสมหะ

เสมหะนั้นมีหน้าที่ช่วยดักจับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม แต่เมื่อมีปริมาณมากเกินไป อาจทำให้การหายใจลำบากและกระตุ้นให้ไอหนักขึ้น การรักษาอาการไอแบบมีเสมหะจึงจำเป็นต้องเลือกใช้ยาที่เหมาะสมเพื่อลดเสมหะและช่วยให้การหายใจดีขึ้น

อาการไอแบบมีเสมหะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  1. ไอมีเสมหะแบบเฉียบพลัน – จะมีอาการไอที่ไม่เกิน 3 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ภายใน 2-3 สัปดาห์ หากไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรง
  2. ไอมีเสมหะแบบเรื้อรัง – อาการไอเรื้อรังจะมีอาการต่อเนื่องนานกว่า 8 สัปดาห์ขึ้นไป สำหรับเด็กจะอยู่ที่ประมาณ 4 สัปดาห์ หากไอมีเสมหะนานเกินกว่าระยะเวลานี้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่น ๆ เช่น โรคปอดอักเสบ หอบหืด หรือโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจเรื้อรังอื่น ๆ ซึ่งหากปล่อยไว้นานอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและระบบการหายใจในระยะยาว การเข้าพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการนานผิดปกติจึงสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการทรุดลงและรักษาได้ทันเวลา

อาการไอแบบมีเสมหะต่างจากไอประเภทอื่นอย่างไร?

  1. ไอแห้ง
    ไอแห้งเป็นอาการไอที่ไม่มีเสมหะร่วมด้วย มักเกิดจากการระคายเคืองในลำคอหรือทางเดินหายใจ เช่น อาการแพ้หรือโรคหืด สาเหตุมักเกิดจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ หรือการอักเสบในทางเดินหายใจ แม้จะรู้สึกระคายเคืองและมีอาการไอ แต่จะไม่มีเสมหะออกมาพร้อมกับการไอ
  2. ไอจากการติดเชื้อไวรัส
    ไอที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสสามารถมีทั้งแบบมีเสมหะและไม่มีเสมหะ ขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ในบางกรณี อาการไออาจมีเสมหะหรือน้ำมูก แต่ในบางครั้งอาจไม่มีเสมหะเลย ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายและความรุนแรงของการติดเชื้อ
  3. ไอจากการระคายเคือง
    เกิดจากการที่ทางเดินหายใจสัมผัสกับสารระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ฝุ่น หรือสารเคมี ทำให้รู้สึกไม่สบายในลำคอและกระตุ้นให้เกิดอาการไอ โดยมักจะไม่มีเสมหะร่วมด้วย สารระคายเคืองเหล่านี้สามารถทำให้ทางเดินหายใจแห้งและเกิดการอักเสบ จึงทำให้เกิดการไอแบบแห้ง

การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างไอแบบมีเสมหะและไอประเภทอื่น ๆ จะช่วยให้สามารถรักษาและเลือกใช้ยาแก้ไอได้อย่างเหมาะสมตามอาการ

ควรดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีอาการไอแบบมีเสมหะ

เมื่อคุณมีอาการไอแบบมีเสมหะในระยะเริ่มแรก การดูแลตนเองและปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยบรรเทาอาการและทำให้รู้สึกดีและผ่อนคลายมากขึ้น

  1. ดื่มน้ำสะอาด – ดื่มน้ำที่อุณหภูมิปกติ วันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้เสมหะบางลงและขับออกได้ง่ายขึ้น
  2. ดื่มน้ำสมุนไพร – การดื่มน้ำขิงหรือน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว สามารถช่วยบรรเทาอาการไอ และลดการระคายเคืองในลำคอได้
  3. ใช้น้ำเกลือกลั้วคอ – การกลั้วคอด้วยน้ำเกลือช่วยลดการระคายเคืองและฆ่าเชื้อในลำคอ ทำให้รู้สึกสบายขึ้น
  4. งดอาหารบางประเภท – หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทของทอด ของมัน น้ำอัดลม กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจกระตุ้นการเกิดเสมหะมากขึ้น
    ยาบรรเทาอาการไอ มีกี่ ชนิด แล้วเหมาะสมกับอาการใด

    1. ยาลดหรือระงับอาการไอ (cough suppressants or antitussives) อาจออกฤทธิ์ที่จุดรับสัญญาณการไอส่วนปลาย หรือออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลางของสมองที่ควบคุมอาการไอ ยาชนิดนี้ควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ (non-productive cough)
    2. ยาขับเสมหะ (expectorants) ยาชนิดนี้จะกระตุ้นการขับเสมหะโดยกระตุ้นการทำงานของเยื่อบุในระบบทางเดินหายใจในการกำจัดเสมหะ และเพิ่มปริมาณสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ ทำให้ปริมาณเสมหะมากขึ้น ทำให้ไอเอาเสมหะออกมาได้ง่ายขึ้นเช่น potassium guaiacolsulphonate, terpin hydrate, ammonium chloride, glyceryl guaiacolate ยาชนิดนี้ควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ไอแบบมีเสมหะ (productive cough)
    3. ยาละลายเสมหะ (mucolytics) ยาชนิดนี้จะช่วยลดความเหนียวของเสมหะลงทำให้ร่างกายกำจัดหรือขับเสมหะออกได้ง่ายขึ้น   เช่น ambroxol hydrochloride, bromhexine, carbocysteine ยาชนิดนี้ควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ไอแบบมีเสมหะ  บางครั้งนิยมใช้ร่วมกับยาขับเสมหะข้อแนะนำในการใช้ยาแก้ไอ
    การใช้ยาแก้ไอควรพิจารณาตามอาการที่เกิดขึ้น และเพื่อให้การรักษาโดยการใช้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด เรามีคำแนะนำในเบื้องต้นมาฝากดังนี้

    1. เมื่ออาการไอมีเสมหะหรือรู้สึกเสมหะหนาแน่น
      หากรู้สึกว่ามีเสมหะสะสมและยากต่อการขับออก ควรใช้ยาขับเสมหะหรือยาละลายเสมหะเพื่อช่วยให้เสมหะบางลงและขับออกได้ง่ายขึ้น
    2. เมื่ออาการไอรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
      หากอาการไอทำให้รบกวนการนอนหลับ การทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน ควรเริ่มใช้ยาแก้ไอเพื่อบรรเทาอาการและช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อน
    3. เมื่อไอแห้งและระคายเคือง
      หากมีอาการไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ การใช้ยาลดหรือระงับอาการไอจะช่วยบรรเทาอาการได้ โดยเฉพาะในช่วงที่รู้สึกระคายคอหรือไออย่างต่อเนื่องโดยไม่มีเสมหะ
    4. เมื่ออาการไอต่อเนื่องเป็นเวลานาน
      หากอาการไอไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือมีอาการเรื้อรังนานเกิน 8 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์และอาจใช้ยาตามคำแนะนำเพื่อรักษาอาการอย่างเหมาะสม
    5. เมื่อมีไข้หรืออาการอื่นร่วมด้วย
      หากมีอาการอื่น ๆ ร่วมกับการไอ เช่น ไข้สูง หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือรู้สึกอ่อนเพลีย ควรใช้ยาแก้ไอร่วมกับยารักษาอาการอื่น ๆ และเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
      ทำไมต้องเลือกยาแก้ไอให้ถูกประเภท
      ?การใช้ยาแก้ไอที่ไม่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร แต่ยังอาจทำให้อาการแย่ลงได้ ยาแก้ไอแบบระงับไอไม่ควรใช้ในผู้ที่มีเสมหะ เพราะจะทำให้เสมหะสะสมและอาจทำให้เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจดังนั้น หากคุณมีอาการไอแบบมีเสมหะ การเลือกใช้ยาที่ช่วยขับเสมหะออกจากร่างกาย เช่น ยาละลายเสมหะ หรือยาแก้ไอแบบเฉพาะเจาะจง จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นการเลือกยาที่เหมาะสมจึงสำคัญมาก และอย่าลืมปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง หากรับประทานยาแก้ไอหรือปฏิบัติตามวิธีดูแลตนเองแล้วอาการไม่บรรเทาลงภายในระยะเวลาที่ควร ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาและตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจเป็นโรคร้ายแรง

      จะเห็นได้ว่าอาการไอ อาจเกิดจากโรคที่ไม่ร้ายแรง เช่นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและล่าง เช่น หวัด, คอหรือหลอดลมอักเสบ หรือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคที่ร้ายแรงได้  เช่น ปอดอักเสบ, เนื้องอกบริเวณคอ กล่องเสียงหรือหลอดลม   หากผู้ป่วยไม่ได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุและรักษาที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นหากผู้ป่วยได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้วอาการไอไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์โดยทันที

คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง

askexpert

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    คุกกี้ประเภทนี้จะช่วยจดจำข้อมูลคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ท่านใช้เข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลการลงทะเบียนหรือ log in ข้อมูลการตั้งค่าหรือตัวเลือกที่ท่านเคยเลือกไว้บนเว็บไซต์ เช่น ภาษาที่แสดงบนเว็บไซต์ ที่อยู่สำหรับจัดส่งสินค้า เพื่อให้ท่านสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องให้ข้อมูลหรือตั้งค่าใหม่ทุกครั้งที่ท่านเข้าใช้เว็บไซต์ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจใช้งานเว็บไซต์ได้ไม่สะดวกและไม่เต็มประสิทธิภาพ
    Cookies Details

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์เเละด้านฟังก์ชั่น

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน เพื่อให้เราสามารถวัดผล ประเมิน ปรับปรุง และพัฒนาเนื้อหาสินค้า/บริการและเว็บไซต์ของเราเพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของท่าน ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ประเมิน และพัฒนาเว็บไซต์ได้
    Cookies Details

  • คุกกี้โฆษณา

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและสร้างโปรไฟล์เกี่ยวกับตัวท่าน เพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์และนำเสนอเนื้อหา สินค้า/บริการ และ/หรือ โฆษณาที่เหมาะสมกับความสนใจของท่านได้ ทั้งนี้ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านอาจได้รับข้อมูลและโฆษณาทั่วไปที่ไม่ตรงกับความสนใจของท่าน
    Cookies Details

Save