สายเที่ยวป่าปีนเขาช่วงหน้าหนาว ต้องระวัง! “โรคไข้รากสาดใหญ่” ทำป่วยมีไข้สูง

13 ก.ย. 24

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือน! นักท่องเที่ยวที่ชอบกางกางเต็นท์นอนในพื้นที่ป่าภูเขาให้ระมัดระวังตัวไรอ่อนกัด เสี่ยงติดเชื้อ และป่วยเป็น “โรคไข้รากสาดใหญ่” ได้ หากอาการรุนแรงอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว! ไข้รากสาดใหญ่ จะมีอาการ และวิธีรักษาป้องกันอย่างไร… มาติดตามกันได้เลย

โรคไข้รากสาดใหญ่ อันตรายจากตัวไรอ่อนกัด!

ไข้รากสาดใหญ่ หรือ สครับไทฟัส เป็นโรคที่พบได้ทุกฤดูกาล แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มริกเก็ตเชีย (Rickettsia) ตามธรรมชาติ โดยมีตัวไรอ่อนเป็นพาหะนำโรค (มีขนาดเล็กมาก ประมาณ 1 มิลลิเมตรเท่านั้น) มักพบอยู่ตามพุ่มไม้ ป่าละเมาะ พงหญ้าใกล้กับพื้นดินที่มีความชื้นแต่ไม่เปียกแฉะ

ตัวไรอ่อนจะกัดคน เพื่อกินน้ำเหลืองเป็นอาหาร เมื่อคนถูกกัดจะได้รับเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้รากสาดใหญ่ หากมีการเกาบริเวณที่ถูกกัดจะทำให้ผิวหนังเปิด เป็นเหตุให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือดได้มากขึ้น

ระยะฟักตัวของโรค : 6-20 วัน โดยเฉลี่ย 10 วัน

สถานการณ์โรคไข้รากสาดใหญ่ในประเทศไทย

  • ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 13 พฤศจิกายน 2566 พบผู้ป่วย 6,903 ราย มีผู้เสียชีวิต 6 ราย
  • กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ 45-54 ปี รองลงมาคือ 55-64 ปี และ 65 ปีขึ้นไป ตามลำดับ
  • อาชีพส่วนใหญ่ คือ เกษตรกร ร้อยละ 41.7 รับจ้าง ร้อยละ 21.9 ไม่ทราบอาชีพ/ในปกครอง ร้อยละ 15.4
  • ภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ภาคเหนือ

บริเวณใดในร่างกายที่มักถูกตัวไรอ่อนกัด?

ไรอ่อนมักจะเข้าไปกัดบริเวณร่มผ้า เช่น

  • อวัยวะสืบพันธุ์
  • ขาหนีบ
  • เอว
  • ลำตัวบริเวณใต้ราวนม
  • รักแร้
  • คอ

 

โรคไข้รากสาดใหญ่ มีอาการอย่างไร?

หลังถูกตัวไรอ่อนที่มีเชื้อกัดประมาณ 10-12 วัน จะมีอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • ปวดศีรษะที่ขมับ และหน้าผาก
  • มีไข้หนาวสั่น ไข้สูงตลอดเวลา 40-40.5 องศาเซลเซียส และอาจอยู่นาน 2-3 สัปดาห์
  • หน้าแดง ตาแดง กลัวแสง
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • ท้องผูก
  • ไอแห้ง ๆ
  • ผื่นแดงตามตัว
  • ถ้าอาการรุนแรงอาจมีอาการซึม สับสน ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง

ตรงบริเวณที่โดนไรอ่อนกัด แรก ๆ จะเป็นตุ่มแดง อยู่ 2-3 วัน แล้วแตกเป็นแผล พอแผลแห้งก็เป็นสะเก็ดดำ ๆ คล้ายรอยถูกบุหรี่จี้ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองแถวที่ถูกกัดจะบวมเจ็บ และจากนั้นก็จะมีไข้ ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 20 อาจมีอาการแทรกซ้อนอย่างรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

ภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้รากสาดใหญ่

ถ้าผู้ติดเชื้อไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่พบได้ คือ

  • ตับอักเสบ
  • เยื่อหุ้มสมอง หรือเนื้อสมองอักเสบ
  • ไตวายฉับพลัน
  • ปอดอักเสบ
  • ภาวะลิ่มเลือดแข็งตัวทั่วร่างกาย ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ

วิธีรักษาโรคไข้รากสาดใหญ่

โรคไข้รากสาดใหญ่ต้อง รักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งเท่านั้น ไม่สามารถรักษาด้วยยาจำพวกแก้ไข้ แก้ปวดได้ ดังนั้น หลังกลับออกจากเที่ยวป่าภายใน 2 สัปดาห์ แล้วป่วยมีไข้ขึ้นสูง มีอาการปวดศีรษะ ควรรีบพบแพทย์ และแจ้งประวัติการเข้าไปในป่าให้แพทย์ทราบ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง และรวดเร็ว

เที่ยวป่าเดินเขาอย่างไรให้ปลอดภัยจาก “ตัวไร” ?

  • นักท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยวป่า ควรกางเต็นท์ในบริเวณค่ายพักที่โล่งเตียน
  • หลีกเลี่ยงการนั่ง และนอนบนพื้นหญ้า
  • ใช้สารไล่แมลงที่มีส่วนประกอบของสาร DEEF 20-30% (หรือสารที่ได้รับการรับรองว่าใช้สำหรับต่อต้านตัวไรอ่อน) หมั่นทาทุก 4-6 ชั่วโมง ทั้งแบบที่ใช้กับผิวหนัง และเสื้อผ้า
  • แต่งกายให้มิดชิด ให้เด็กสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังอย่างมิดชิดทั้งแขน และขา หรือคลุมรถเข็นเด็ก เตียงนอนด้วยมุ้ง
  • หลังอาบน้ำ หรือเปลี่ยนเสื้อผ้า ควรสำรวจร่างกายตัวเองว่ามีผื่น แผล หรือแมลงเกาะตามตัวหรือไม่
  • ควรสังเกตอาการของตนเอง หากกลับจากเที่ยวป่าภายใน 2 สัปดาห์ พบว่ามีอาการตามที่กล่าวมา ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

อ้างอิง : 1. กระทรวงสาธารณสุข 2. รพ. สินแพทย์ 3. thairath 4. รพ. บางปะกอก 5. สสส.

บทความที่เกี่ยวข้อง

askexpert

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save